แสงไฟและตัวโน๊ตล่องลอยออกมาจากใครบางคน มันลอยขึ้นและเผาไหม้ตัวเองตรงหน้าของผม 'น่าแปลกที่ผมไม่ยักกะรู้สึกร้อน' คนบางคนก็ร้องเพลงน่าประทับใจ บางคนให้กำลังใจคนอื่น บางคนก็บั่นทอนความรู้สึกดีๆ
ผมนั่งฟังเพลงของเขาสามเพลง ความสุขของผมน้อยลง มันเปลี่ยนเป็นเวลาแห่งการฟูมฟาย โทษตัวเอง และอดีต สำหรับผม มันไม่ใช่เพลง แต่มันคือ 'ขยะ' ขยะของความรู้สึก ที่เราทุกคนอยากจะทิ้ง อยากจะลืมแต่กลับจำได้ดี กระนั้น เพลงบางเพลงก็เอาวันเวลาเหล่านั้นกลับมา เสมือนการบรรจงกรีดมีดลงไปบนแผลเก่าที่หายแล้ว อาจมองว่าเป็นศิลปะ 'แต่มันก็บเจ็บ' อยู่ในอีกมุมหนึ่ง
ผมคิดต่อไป ...
มันคงเป็นเพราะใครบางคนถูกทำร้าย ... หรืออาจเพราะใครบางคนถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง หรือเขาอาจหวังดี อยากสะท้อนสังคมในอีกมุมที่ไม่มีใครทำ ...
สุดท้าย ... ในที่สุด ... ผมก็ต้องปิดมันลง เพราะทนต่อไปไม่ไหว นี่คือบทสรุปของผม ตาผมสรุปแล้ว ...
ปัญหามันมีกันได้ ความรู้สึกแย่ๆ ก็มีกันได้ ฟูมฟายก็มีกันได้ แต่อย่างไรก็ตาม พระอาทิย์ก็ไม่เคยหยุดส่องแสง ท้องฟ้ายังคงเป็นสีฟ้า และน้ำทะเลยังคงเต็มในมหาสมุทร ความเศร้าทั้งหมดของเรารวมกันช่างเล็กน้อย ...
น้อยกว่าละอองทุกลี น้อยกว่า 'ขี้เล็บตีนของจักรวาล' แต่เราชอบทำราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนโลกนี้ ชอบคิดว่าเราสำคัญ ประเสริฐ ยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าข้าวเจ้าของทุกสิ่ง ทั้งๆ ที่ทำได้แค่เฉียดสิ่งเหล่านี้ไปมา ความจริง ความรักและโลกใบนี้ต่างหากที่สอนเรา ให้รู้และเข้าใจ
บางทีเราต้องสงวนคำอธิบายที่เรามี เพื่อรับฟังบ้าง ฟังสิ่งที่โลกนี้และความรักกำลังจะบอกเรา การบ่นต่อว่า การฟูมฟายเป็นกระบวนการเพื่อการหาสิ่งที่ดีกว่า มันไม่ใช่คำตอบ 'แต่เป็นคำพยากรณ์ถึงคำตอบที่กำลังจะมาถึง'
ดังนั้นจะเป็นจะตายอย่างไร ก็จงก้าวต่อไป ก้าวต่อไปให้ทันแสงของดวงตะวัน
ก้าวต่อไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นค่ะ :)
ตอบลบแอบอ่านงานพี่นิ้วมาหลายงานละ พยายามอ่านย้อนไปเรื่อยๆ ตามเวลาจะอำนวย ยังคิดอยู่ว่า หากคัดงานไปรวมเล่ม มันน่าจะเจ๋งมากๆ :)
ขอบคุณมากๆ จ้า ป๊อปแป๊ป พี่ก็แอบตามดูชีวิตหนูอยู่ ว่างๆ อยากเชิญมาออกรายการด้วยกันแบบเต็มๆ
ตอบลบ