วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ไมตรี

-------(คิดไม่ออก) -------

แดดเลียที่ขอบหน้าต่างในตอนเช้าเหมือนทุกวัน ต่างออกไปตรงที่วันนี้ผมได้มองมันนานกว่าที่เคย ผู้คนต่างออกไปทำงานด้วยความรีบเร่ง เสียงฝีเท้ากับบรรยากาศชวนเก็บที่นอนล่องลอยไปทั่ว ผมมองไปที่นาฬิกา "แปดโมงกว่า"

ผมนั่งอยู่บนที่นอน พลางเอื้อมมือออกไปพับผ้าห่มอย่างเมาขี้ตา พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะดึงตัวเองออกจากโลกแห่งความฝัน นี่มันวันหยุดนี่นา เมื่อวานคิดงานไม่ออกนี่นา ช่ายๆ นี่คือโลกที่ผมอยู่

ผมพยายามคิดทำสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำในวงการวิทยุ แต่ทุกครั้งที่ทำมันก็ดันไปซ้ำกับชาวบ้านทุกที ทำไมเราหามันไม่เจอ ไอ้สิ่งที่บรรเจิด แจ่มเจ๋งสุดๆ นั่น ทำมันถึงได้หายากเย็นนักนะ คิดไปหนักเขาอารมณ์ก็ขุ่นมัว

------- (ยิ้มสยาม) -------

"สวัสดี สบายดีมั้ย" ผมทักเธอแบบไม่ประวิสัญชนีย์

"สบายดีมากมาย แกอ่ะ" เธอถามมา

"กำลังใช้วันหยุด" ผมหลีกเลี่ยงคำว่าไม่สบายใจ

"อยู่ไหน"

"บ้านแสนอบอุ่น" ผมตอบ

"แกฟังเพลงที่ฉันร้องกับโธมัสรึยัง" ผมไม่ทันตอบเธอก็โพสลิ้งค์มาให้ เป็นคลิปมิวสิควิดีโอเพลงแนว new age เพลงหนึ่ง เธอร้องออกเสียงเองกับปากของเธอ ส่วนอีตาโธมัสก็เป่าทรัมเป็ตอย่างสุดพลัง เพลงทั้งเพลงออกมาหลอนคล้ายห้วงภวังค์ครั้งหนึ่งของพี่เสกโลโซ ก่อนธนูจะปักเข่าพี่แก "ฟังไปฟังมาก็เพราะดีเหมือนกันแฮะ"

"ชอบความคิดโธมัสอ่ะ" สื่อสารบรรยากาศได้ชัดดี เป็นงานศิลปะที่เจ๋งมาก

"แกชอบอะไรอ่ะ" เธอถาม

"ชอบไอเดียการนำเสนอนะ เออ อยากเป็นเพื่อนกับเขาอ่ะแก เขาใจดีป่ะ"

"ใจดีมาก เขาอยากเป็นเพื่อนกับคนทั้งโลกแหละ"

"เจน ถ้าจะขอสัมภาษณ์ออกรายการวิทยุของฉันได้มั้ยวะ"

"ได้นะ"

------- (สิ่งเติมเต็มใจ) -------

น่าแปลกนะที่ฝรั่งตาน้ำข้าวคนหนึ่งอยากเป็นเพื่อนกับคนทั้งโลกโดยไม่คิดอะไร ไม่กลัวที่จะเจ็บกับอุบัติเหตุของความสัมพันธ์ เขาเดินทางมายังประเทศที่เขาไม่รู้จัก เพื่อมาหยิบยื่นรอยยิ้มอันแสนจริงใจ สิ่งเรียบง่ายซึ่งมีคุณค่ายิ่งกว่าอะไร ในวันที่เราคิดว่าเราย่ำแย่ การมองออกไปนอกหน้าต่างความคิดตัวเอง ก็ทำให้เราได้รับกำลังใจเหมือนกัน การที่โลกนี้ยังมีคนดีอย่างนี้มันดีจริงๆ

มันเป็นเหมือนสภาพของคำว่าพระคุณ คือสิ่งดีที่เราได้รับอย่างฟรีๆ แม้จะไม่ค่อยสมควรได้รับก็ตาม

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แรงบันดาลใจของวันพรุ่งนี้

ในชีวิตของเราจะมีช่วงเวลานานสักกี่วินาทีที่จะเป็นวินาทีประวัติศาสตร์ของเรา นานสักแค่ไหนกันที่เราจะภูมิสุดๆ กับอะไรบางอย่าง และสามารถเก็บมันเอาไปฝันได้ตลอดผมนั่งคิดขณะที่กำลังอ่านข้อความ ข้อความหนึ่งอยู่ มันอยู่อย่างแน่นิ่งเอื่ยเฉื่อยในโทรศัพท์มือถือ เฝ้ารอหยดน่ำตาที่กำลังจะตกลงมากระทบหน้าจอเล็กๆ อ่อนไหวไปมั้ยนะ ผมคิด

"กริ๊ดดด !! ทำไมทำร้ายเพลงพระราชนิพนธ์อย่างนี้" บางคนเขียน

เวทีมักเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเรา และมักเป็นศัตรูที่ร้ายกาจของคนที่อ่อนซ้อม ผมมักจะบอกคนอื่นแบบนี้เสมอ เพราะมั่นใจว่าตัวเองอยู่ในจุดที่ซ้อมหนัก ซื่อสัตย์กับการซ้อม ขยัน และเอาจิงเอาจัง แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป ผมล้มเหลวไม่เป็นท่า กลายเป็นเด็กทารกที่หวาดกลัวโลกใบนี้และสิ่งรอบข้าง ผมเลือกเพลงผิดเหรอ หรือว่าผมยังซ้อมไม่พอ หรืออะไร ผมพยายามหาคำอธิบายในขณะที่วันพรุ่งนี้กำลังจะมาถึง อดีตยังคงไล่ล่าอย่างไม่ปราณี

ตอนนี้ต้องหาวิธีผ่านมันไปให้ได้ ...

ผมทบทวนว่าผมทำอะไร เพื่ออะไรกันแน่ แล้วผมก็ได้คำตอบประการหนึ่งที่น่าพอใจว่า ผมร้องเพลงเพลงนี้เพื่อแสวงถึงความจงรักภักดี แสดงถึงความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อสังคม แน่นอนถ้าผมร้องไม่ดีก็อาจมีคนว่าบ้าง แต่ไม่เป็นไร ผมซ้อมทุกวัน ผมเต็มที่แล้ว และผมก็รักในสิ่งที่ทำ แม้หลายอย่างอาจจะยังไม่พร้อม แต่บนความไม่พร้อมนี่แหละเราก็ได้พิสูจน์ตัวเอง 

ผมจะไม่โทษโชคชะตา จะไม่โทษคนอื่น ไม่โทษสถานการณ์ ไม่โทษโกรธตัวเอง ผมจะวางมันลงยิ้มแล้วก้าวต่อไป พรุ่งนี้ไฟจะส่องหน้า พี่ๆ ที่หน้ามิกซ์จะมองผม เพื่อนๆ และคนที่มาดูจะเห็นผม เห็นความจงรักภักดี เห็นความเพียรพยายาม ถึงมันจะไม่ดีเมื่อเทียบกับใครๆ แต่ผมไม่ได้อยู่ที่ศูนย์ แม้มันจะไปไม่เร็วนัก แต่ก็กำลังมุ่งไปอย่างเต็มกำลัง 

"ไม่เคืองแค้น น้อยใจในโชคชะตา ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป"

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ท่ามกลางความเงียบงัน

ผู้คนเคลื่อนตัวไปมาเหมือนหนอน สภาพ อันแสนวกวนนั้นสะท้อนอยู่ในแววตาของฉัน ไม่มีใครสนใจในกันและกัน น่าขยะแขยงสิ้นดี

ใครบางคนพยายามตะโกนบางสิ่ง ชายคนนั้นกำลังดิ้นรนจะทำอะไรกัน ผมมองดู สีหน้าเขากำลังเหมือนกำลังขอความเห็นใจ บางอย่างบอกว่า สิ่งที่เขาได้รับนั้นดูเหมือนไม่ยุติธรรม

ผมคิดในใจว่าทำไมโลกนี้ถึงต้องพูดกันด้วยระดับเสียงที่ดังเช่นนี้ เราไม่ได้ยินกัน หรือเราไม่สนใจกัน สังคมกำลังกลืนกินความรู้สีกของเรา เราห่วงกันยากมาก

มันเกิดอะไรขึ้นนะ ...

มันทำให้นึกถึงเรื่อนก่อนหน้า 'เราทำไม่ได้ มันไม่ mass' มันเป็นคำของคนแต่งเพลงจากค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย ถ้าคำว่า mass หมายถังจุดร่วมของสังคม แล้วเราต้องทำเพลงให้โดนจุดนี้นั้น เพลงก็คงจะเป็นงานศิลปะแบบ 'ผิวเผินเหินห่าง' คือ ไม่สูงส่งควรค่าแก่การนำมาซาบซึ้ง และมันย่อมไม่สะเทือนใจอะไรทั้งนั้น 

ตุ้บบบ !!

ชายคนนั้นชักดิ้นชักงออยู่กับพื้นถนน รถยนต์พยายามขับเลี่ยงออกไป พวกเขาปฏิเสธการมีตัวตนของชายคนนี้อย่างสมบูรณ์แบบ คนมุงดูเต็มไปหมด เลือดไหลนองเต็มพื้น ชายคนนั้นใช้แรงเฮือกสุดท้ายบอกสิ่งสำคัญที่เขาต้องการไปแล้ว เขาใช้สิทธิ์สุดท้ายเรียกร้องความยุติธรรม 

สะพานลอยช่างโหดร้าย โลกนี้ช่างโหดร้าย 
สุดท้ายเราก็คิดกันแต่เศษเดนของงานศิลปะ คิดแค่ว่าต้องขายได้ ไม่มีใครคิดจะทำเพลงเพื่อเยียวยาคนอื่น 

ช่างเถอะเขาจากเราไปแล้ว ไม่ใช่พ่อเรานี่ ใครจะสนจริงมั้ย

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การเดินทางในกระดาษ A๔

ผมสับสนเหลือเกิน ระหว่างทางเลือกที่จะเดินเข้าไปถามทางใครบางคน หรือจะแบกอีโก้ตัวเองเดินต่อไป หนทางข้างหน้าแสนพิศวง มันเป็นซอยแคบๆ ที่ยิ่งเดินก็ยิ่งไกล ยิ่งไกลก็ยิ่งเหนื่อย แต่ก็ยิ่งอยากเอาชนะ ไม่รู้จะพิสูจน์ความแข็งแกร่งอะไรกันนักหนา

ผมจะเดินไปไหนผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ น่าแปลกที่กลับรู้สึกตื่นเต้น ดีแล้วล่ะ ...

ร้านไก่ทอดห้าดาวอยู่เยื้องไปทางซ้าย ผมอ่านป้ายขณะที่ในอ้อมแขนก็กอดกระดาษเอสี่รียูสไว้แน่น 'เดี๋ยวนี้เขาไม่มีไก่ย่างห้าดาวแล้วเหรอเนี่ย'

"พี่ครับ"

"น้องวางก่อนก็ได้ครับ" คนขายชี้มือไปทางพื้นที่ว่างบนรถขายไก่ ผิวโลหะเรียบๆ ชวนผมให้วางกระดาษเอสี่ใช้แล้วสองรีมลงไป มันเป็นระเบียบดีจังชอบ ... !!

"พี่เอาชิ้นนนี้" ผมเลือก ไม่ต้องเรียกว่าเลือกดีกว่า ผมชี้ไปส่งๆ

"ได้ๆ เดี๋ยวพี่หั่นให้"

"พี่ซอยนี้ไปสุดที่ไหนอ่ะ"

"โห ... น้อง บางนานู่นแน่ะ น้องจะไปไหนอ่ะ"

"ผมจะไปลาดพร้าว"

"เดินออกไปทางซอยหน้า เลี้ยวขวาแล้วเดินไปเรื่อยๆ จะเจอช่องสาม แล้วน้องก็ต่อรถไป"

"ครับพี่ ... ผมนั่งกินตรงนี้ได้มั้ย"

"ได้ๆ เด๋วพี่ไปเอาเก้าอี้มาให้ เอาข้าวเหนียวด้วยมั้ย"

"ไม่เอาอ่ะพี่ ไม่ค่อยหิว เท่าไหรครับ"

"สามสิบหกบาท"

"นี่ครับพี่"

ผมนังลงบนเก้าอี้พลาสติกสีแดง ขอบคุณตัวเองที่อีโก้ไม่มากนัก ไม่งั้นคงต้องเดินไปบางนา ผมกัดไก่ร้อนๆ ทีละคำ อร่อยทีเดียว ... 'ในเวลาแบบนี้ มันอร่อยทีเดียว'

ผมยิ้มเยาะเย้ยให้กับความลำบาก เดินโง่มาไกลหลายกิโลฯ เพื่อกลับมาจุดเดิม มันไม่ได้ไปไหนเลย เสียทั้งเวลาทั้งเงินที่มีอยู่เพียงติดกระเป๋า

"ขอบคุณมากครับพี่" ผมบอกที่ชายคนนั้นไป พลางกอดกระดาษรียูส เดินผ่าความมึนงงของบรรยากาศที่ไม่คุ้นชิน เดินฝ่ากลุ่มเด็กแว้นที่ไม่รู้ว่ามันจะปล้นเราหรือไม่ ผมสูดลมหายใจ แล้วเดินไปสักพัก ... ก็เจอช่องสาม เจอป้ายรถเมล์ มองเห็นความหวังที่จะได้กลับบ้าน 'ใกล้จะได้วางภาระอันหนักอี้งแล้ว'

"ลุงครับถ้าผมจะไปลาดพร้าวผมจะนั่งรถสายอะไรดีครับ" ผมออกแรงถามด้วยความอ่อนแรง

"ลุงก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ลุงไม่ค่อยถนัดเรื่องรถเมล์ แต่ถ้าถามทางละก็ทางซ้ายมือก็จะไปทางบางนา แต่ถ้าไปทางขวาก็จะไปรามคำแหง"

ผมหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง

"ลุงครับระหว่างนั่งรถไปสามย่าน แล้วต่อรถไปรัชดาแล้วเข้าลาดพร้าว กับวกไปทางรามคำแหงผ่านบางกะปิแล้วเข้าลาดพร้าวอันไหนใกล้กว่าครับ"

"อันนี้ลุงก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ปกติทางนั้นลุงไม่ค่อยชำนาญเท่าไหร่"

ผมหยุดคิดอีกครู่ใหญ่

"ผมได้คำตอบแล้วล่ะครับ"

"ไปทางไหนล่ะ"

"ผมจะไปสามย่านแล้วนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปครับ"

"อ้อ ... แบบนั้นก็ได้นะ นั่นไงมาพอดี สายสี่สิบห้า"

"คันนี้เหรอครับ"

"ใช่"

"ผมลาแล้วนะครับ ขอบคุณลุงมากๆ นะครับ"

"เออๆ เอ้าๆ โชคดีนะ"

ภาพของเด็กแว้นที่มองเราด้วยท่าทางเอาเรื่องไม่มีอยู่ในหัว ภาพของสังคมที่หวาดระแวงกันก็ไม่มีอยู่ในหัว มันถูกแทนที่ด้วยภาพของชายที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมีช่วงเวลา 'ฉกรรจ์' วันนี้กลางความยากลำบากมีชายแก่ธรมดาคนหนึ่งที่ตอบคำถามของเราด้วยความอารี และเอื้อความอาทรมาให้

ในที่สุด ...

ความไม่สบายใจของผมก็สลายไป มันหายไปเฉยๆ อย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล คนแก่คนนี้เป็นที่พักพิงให้กับผม ทั้งที่เราไม่รู้จักกัน แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่าเขากอดผมเอาไว้ ผมกลายเป็น 'ไอ้หลานชาย' ของเขา

และผมก็ไม่ได้อยู่คนเดียว ... ไม่ได้เดินท่ามกลางภยันตรายเหมือนอย่างที่คิด

ประเทศเราเป็นประเทศที่เรียกคนที่ไม่รู้จักเหมือนคนในครอบครัว กับวัยรุ่นวัยเดียวกันก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรมาก แต่เมื่อลองเรียกคนที่อายุประมาณสักห้าสิบขึ้นไป ผมอธิบายมันไม่ได้เลยจริงๆ

อบอุ่น สวยงาม เหมือนสายลมพักเข้ามาให้ใจ เหมือนความกระหายได้ถูกเติมเต็มโดยคนแปลกหน้า ผมไม่ได้พูดคำว่าขอบคุณด้วยความวาบซึ้งเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ

อะไรๆ รอบตัวก็ยากลำบาก มันเป็นเพราะเราคิดว่าเราอยู่คนเดียว เมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดว่าเราอยู่โดยลำพังก็ก็จะอ่อนแอ แต่ถ้าเรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวล่ะ

ถ้า ...

เรารู้ว่ามีใครบางคนที่จะไม่ยอมปล่อยมือเราแน่ๆ ถ้าเรารู้ว่ายังมีคนเคียงข้างเรา มีต้นไม้ใหญ่ที่คอยเป็นร่มเงาให้เราได้พักพิง และให้ความรู้สึกร่มเย็นกับเรา ในยามใดที่เรากระวนกระวาย

ถ้า ...

เราทุกคนเป็นญาติกัน ถ้าเราเป็นพี่น้องกัน ถ้าเราไม่ได้เป็นคนที่เดินสวนกันไปมา ถ้าเรามีความหมายขึ้นมาในใจของคนคนนั้น ถ้าเขาจะมองเห็นการมีอยู่ของเรา ถ้าเราจะไม่ต้องหายใจทิ้งไปวันๆ โดยที่ไม่รู้ว่ามันจะหยุดเมื่อไหร่

ถ้าท่ามกลางบางสิ่งมีคนคนนั้นอยู่เพื่อเป็นร่มเงาให้เรา

ผมดีใจที่วันนี้เพื่อนเอากระดาษเอสี่มาให้ ดีใจที่ตัดสินใจออกไปเอา ดีใจที่ตายังไม่บอด มองเห็นเรื่องดีๆ ท่ามกลางเรื่องแย่ๆ

'ขอบคุณครับ ลุง จากผม ไอ้หลานชาย'

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ถึงเธอ ... ดวงดาว

ส่งเสียงของฉันลอยไปในอากาศ
ที่ที่มีเธออยู่มันจะเป็นอย่างไร

ความเย็นของอากาศมาใกล้แล้ว
เธอจะคิดถึงใคร เธอเห็นอะไรก่อนที่จะหลับตา

ฉันอยู่ตรงนี้ ปล่อยให้เสียงเพลงกั้นเราทั้งสอง
ไม่ขัดขืนต่อสู้อะไรทั้งนั้น

ระยะทางยาวไกล แต่ความรักใหญ่กว่า ...

เด็กหญิงผู้ปาหมอน

ยังมีเด็กหญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านของผม บ้านที่กาลครั้งนั้นเคยมีชายแก่คนหนึ่งอาศัยอยู่ นับตั้งแต่ชายแก่คนนั้นสิ้นลมไป ก็คล้ายว่าพระเจ้าจะประทานเด็กหญิงคนนี้มาให้ เธอเป็นมากกว่าเพื่อน เป็นมากกว่าแฟน เธอเป็น 'ยัยหมีจอมเขมือบ' คู่ชีวิตของผม

"เมื่อวานวันอะไร"

"วันศุกร์ไง แกไม่มีปฏิทินหรือไง"

"ไม่ใช่ ... เมื่อวานวันอะไร"

"เอ๊ะ ... ก็ฉันบอกว่าวันศุกร์ไง ... แกเปิดเน็ตดูก็ได้นี่"

...................................................................................................................................................................................................................... แก .............. ฉันว่าแล้ว .... แกลืมจริงๆ ด้วย ....

ความเงียบกลืนกินเราทั้งสอง หยดน้ำใสไหลอาบแก้มของเธอ ในชีวิตของเธอไม่ได้อยากให้ใครจดจำ โลกนี้ไม่ต้องรู้จักเธอก็ได้ เธอไม่ต้องมีเพื่อน ไม่ต้องคบกับใครก็ได้ มีเพียงแค่คนๆ หนึ่งที่เธออยากอยู่ในความทรงจำของเขา อยากให้เขาจำวันๆ หนึ่ง วันที่สำคัญสำหรับเธอหนึ่งวันในหนึ่งปี ... ไม่มากกว่านั้น

ทั้งๆ ที่ผมจำมันได้แต่ผมก็แกล้งลบมันออกจากความทรงจำ ผู้ชายเฉยชาอย่างผมทำลายความหวังของเธอ เขาคนนั้นเฝ้าดูมันมอดไหม้ไปตรงหน้า

"ทำไมฉันต้องมาเป็นแฟนคนอย่างแกนะ ทำไมฉันไม่ตายๆ ไปซะ ฉันขอมากไปหรือไง"

"เปล่านี่"

เราไม่พูดอะไรกันอีก ห้องที่เคยมีเสียงหัวเราะมันเงียบงันลงไปในทันที เธอกอดเข่าร้องไห้แล้วซับน้ำตามตัวเองด้วยหมอน ไม่ใช่ที่ไหล่ผมเหมือนทุกที ผมยังคงเฝ้าหมอเธออย่างใจเย็น แต่ไม่พูดอะไร เหมือนผมจะไร้ความรู้สึก แต่ก็เปล่ามันไม่ใช่อย่างนั้น ...

ผั่วะ !!

เธอฟาดหมอบลงที่โต๊ะทำงาน ข้าวของกระจาย ไปคนละทิศคนละทาง เธอซัดละอองของความแค้นเคืองให้ปลิวไปทั่วบรรยากาศห้อง เธอมองหน้าผมเหมือนเฝ้ารอบางสิ่ง ตาแดงๆ คู่นั้นยังคงรอบางสิ่ง

ชายแกล้งโง่คนหนึ่งไม่พูดอะไร

เธอเดินออกไปที่ริมระเบียงขังตัวเองอยู่ในนั้น ล๊อคประตูกอดเข่าอยู่คนเดียว ทั้งที่สิ่งที่เธอต้องการจริงๆ มันตรงกันข้าม ผมยิ้มในใจอย่าที่ชายแกล้งทั่วไปโง่พึงกระทำ

อีกนิดเดียว ....

เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำมูกไหลพักใหญ่ มันก็แห้งไปในที่สุด ผมเดินไป นั่งลงข้างๆ เธอ รั้งตัวเธอเข้ามากอดเพื่อบอกคำบางคำที่คิดมาอย่างดีแล้ว

"ไม่มีใครลืมวันเกิดแกหรอก ตอนนี้แกยี่สิบห้าแล้วนะ แต่ดูยังไงแกก็เหมือนเด็กแปดขวบอยู่ดี"

"อันที่จริงแกก็ลืมวันที่ 11 เหมือนกันนะ แต่ช่างมันเหอะ ไม่ต้องมีใครจำมันอ่ะดีแล้ว คนอวยพรเป็นพิธีน่ารำคาญจะตาย ฉันอ่ะ .... ไม่อยากทำแบบที่คนอื่นเขาทำกันหรอกนะ"

"แค่บอกว่าสุขสันต์วันเกิดมันยากนักหรือไง ฉันเป็นแฟนแกนะ"

"อืม ... ยากว่ะ ... นั่งข้างแกง่ายกว่าเยอะเลย ฉันพูดไม่ค่อยเก่งอ่ะเรื่องแบบนั้น แต่ฉันอยู่เป็นเพื่อนแกเก่งนะ เวลาแกแย่ๆ อ่ะ"

เธอมองหน้าผม ช่าย ... เธอเป็นแฟนผมยังคงเป็น และก็จะเป็นไปอีกนาย เธอเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้นที่ผมจะนั่งอยู่ข้างไปจนวันสุดท้ายของผม เรารู้จักกันมากกว่านั้น เรารักกันมากกว่าแค่ 'สุขสันต์วันเกิด' อันที่จริงเราคือคนคนเดียวกันผมสัมผัสได้ แค่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจริงๆ หรอก

ฟืดดด !!

ไหล่ของผมยังคงเป็นที่ซับน้ำตากับขี้มูกของเธออีกเช่นเคย  เวลาที่เรานั่งด้วยกันนี่แหล่งของขวัญวันเกิดที่เธอต้องการที่สุด ผมรู้ ... ชายที่พูดไม่เป็นอย่างผมรู้ข้อนี้ดี

เรายิ้มและให้เวลาครู่หนึ่งในอ้อมกอดของกันและกัน

เวลา ลมตด

------- (๑) -------

ฉัน : บนดาวของนายมีนาฬิกามั้ย

มนุษย์ต่างดาว : อะไรคือนาฬิกา

ฉัน : เครื่องบอกเวลาไง อย่าบอกนะว่าแม้แต่เวลานายก็ไม่รู้จัก

มนุษย์ต่างดาว : 'เว' อะไรนะ ได้ยินว่า 'เวยา' เวยาบนดาวของเราอ่ะ หึๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ

ฉัน : ขำบ้าอะไรของนายเนี่ย ...

มนุษย์ต่างดาว : มันแปลว่าตดน่ะ กลิ่นเหม็นๆ ที่ออกจากตูดไง

ฉัน : ที่มันลอยขึ้นมาแล้วก็หายไปป่ะ ... ฉันรู้ ... ไม่ต้องอธิบาย แหม ... ว่าแต่นายตดได้ด้วยเหรอ

------- (๒) -------

"เวลา = เท่ากับลมตด : สมการของจักรวาล"
มนุษย์ต่างดาวได้นิยามคำว่าเวลาของเราใหม่ซะแล้ว !?!

------- (๓) -------

ถ้าเราไม่ต้องตาย เราก็ไม่ต้องมีเวลา ไม่ต้องรีบทำบางอย่างให้เสร็จก่อนตาย ไม่ต้องสั่งเสีย ไม่ต้องล้างแค้นให้ใคร ... ไม่ต้องหวังกับอะไรทั้งสิ้น เรากลายเป็นความสมบูรณ์แบบ แต่ความจริงเราต้องตาย ความจริงเราเลยต้องทำบางอย่างก่อนหมดลมหายใจ

เวลาเลยไม่เท่ากับลมตดสำหรับเราบนโลกใบนี้ 'เหล่ามนุษย์ใต้ฟ้าผู้อาภัพ'

เราจึงต้องมีความหวัง จึงจำเป็นต้องมีแรงบันดาลใจ ต้องมีความฝัน มันทำให้เราต่อสู้ หายใจ และมีชีวิตรอด เราจึงนิยามความหมายของสิ่งต่างๆ เพื่อให้เราสามารถเข้าใจ รับรู้ถึงสิ่งต่างๆ และซาบซึ้งกับมัน อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาสั้นๆ ในชีวิตเรา

สิ่งที่เราไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการทำร้าย ปรักปรำ โทษตัวเอง หรือแม้แต่คิดฆ่าตัวตาย เพราะเวลาของเรานั้น 'มันสั้นอยู่แล้ว' อาจมีบางช่วงที่เราอ่อนไหว แต่มันก็จะผ่านไปในไม่ช้า ปัญหาอาจทำให้เราต้องเปลี่ยนวิธีบ้าง แต่มันไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนจุดยืน มันไม้ได้เปลี่ยนหลักการ หรือเปลี่ยนความเชื่อ เรายังคงมีตัวตน ไม่ได้กลายเป็นลมตดที่ล่อยลอยและจางหายไป

หากเราต้องเปลี่ยนวิธีการ หากเราต้องเปลี่ยนแปลงบางจุดของตัวเองก็เปลี่ยนไปเถอะ ตราบใดที่ยังรู้ตัวว่าเราเป็นใคร ในที่สุดแม้เราจะเปลี่ยนไปแค่ไหน มันก็จะกลายเป็นการพัฒนา ซึ่งต่างไปจากการเปลี่ยนแปลงอีกแบบ ในทางตรงกันข้าม ที่เรียกกันติดปากว่า 'ความเสื่อม'

ความเสื่อมมาจากการเปลี่ยนแปลงจุดยืน คือการลบตัวจนของเราออกไป กลายเป็นบางสิ่งที่ไม่มีความเชื่อ ไม่หวัง ซังกะตายกับโลก เซื่องซึมในอามรมณ์ในทุกลมหายใจ

ชีวิตเราคิดถึงบางคนได้ เรารักบางคนได้ แต่บางทีเราก็ต้องรักทีละคน

เวลาเตือนใจให้เรารู้จักรักคนอื่น ใครบางคนที่จะแวะมาทักทายเราไม่นานและจากเราไป แต่เวลาไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราลืมเขาไปจากใจ เวลานั้นคอยย้ำคำถามเดิมๆ ว่า อะไรกันแน่ที่สำคัญ อะไรกันแน่ที่เราต้องเลือก หรือใครกันแน่ที่เราจะไม่ยอมปล่อยมือไปจากเขาไม่ว่าอย่างไร

พูดมัน ทำมันซะ ก่อนที่กลิ่นของลมตดจะจางหายไป ...

"มันจะต้องไม่เป็นเรา และมันจะต้องไม่ใช่คนข้างๆ เรา"

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สเตตัส วันที่ 6 - 7 พฤศจิกายน 2554

------- (๑) -------

มึง : วันนี้วันรับปริญญานะเว้ย ท่าท่าเป็นผีตายซากไปได้ แม้ง !! เมื่อคืนหนักไปหน่อยหรือไงวะเพื่อน ---

กู : เปล่า --- มึงว่าเราทำอะไรสำเร็จในชีวิตวะ เราเลยต้องมาถ่ายรูปเนี่ย ...

มึง : ก็เรียนจบไงมึง

กู : จบแล้ว คือ สำเร็จเหรอวะ งั้นถ้ากูไม่มีความสุข ตกงาน พ่อไล่ออกจากบ้าน แฟนทิ้งหลังจากล่ะ --- สิ่งที่กูเชื่อมันเสือกกลายเป็นส่วนหนึ่งของความโง่ของกูเอง --- กูยิ้มไม่ออกว่ะ

มึง : เอาน่าอย่างน้อยแม่มึงก็ตัดชุดให้มึงเลยนะเว้ย สู้ๆ เว๊ย เพื่อน ยังไงมึงก็มีกูนะเว้ย จะเป็นเฮี้ยไรเราก็ไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว

------- (๒) -------

เพื่อน : ช่วงนี้แกทำหนังสือเป็นไงบ้างวะ ท่าทางยุ่ง

ฉัน : ก็ฉันไม่ได้ทำงานประจำอ่ะ เป็นศิลปิน ขายงานศิลปะ แต่ที่แกเห็นยุ่งๆ ก็เพราะว่าฉันไปช่วยน้ำท่วมว่ะ

เพื่อน : อ่าวแล้วแกเอาเวลาไหนทำหนังสือ ทั้งทำเพลงสองอัลบั้ม ทั้งช่วยน้ำท่วม

ฉัน : ก็เจียดเวลาเอาน่ะ วันนึงทำได้บางทีสามหน้า ห้าหน้าก็ขยันๆ หน่อย ของมันทำมือใส่กระดาษปริ๊นเอาทีละหน้าอ่ะ

เพื่อน : อ้าว ... แกไม่ได้ใส่กระดาษ ปริ๊นเอาทีละเยอะไวะ

ฉัน : ก็กระดาษรียูสน่ะ มันหนาไม่เท่ากัน ต้องดูแลทีละแผ่นเลย ไม่งั้นพังทั้งสมุดทั้งเครื่องปริ๊นพอดี

เพื่อน : ท่าจะยากว่ะ ...

ฉัน : ไม่เป็นไรหรอก ฉันรักหนังสือฉันทุกเล่มอ่ะ ไม่ได้เหนื่อยอะไร ฟังเพลงไปทำไป เหนื่อยก็นอน ไม่ต้องเป็นห่วงสบายมาก ฉันอ่ะต้องขอบใจแกอุตส่าห์อุดหนุนตั้งสองเล่มแน่ะ

เพื่อน : กูไม่รีบอ่ะมึง ให้คนอื่นก่อนก็ได้ ... 555

------- (๓) -------

เพื่อน : ถ้าเลือกตั้งสมัยหน้ามึงจะไปเลือกใครวะ

ฉัน : ไม่รู้ดิ ... ตั้งแต่เกิดมากูไม่เคยเลือกตั้งเลยว่ะ

เพื่อน : ทั้งที่มึงเรียนรัฐศาสตร์เนี่ยนะ !?!

ฉัน : เออ ... ช่าย ... กูยิ่งเรียนยิ่งเกลียดประชาธิปไตยว่ะ เหมือนเพลงพี่ตูนอ่ะ

เพื่อน : เพลงไรของมึงวะ

ฉัน : "ยิ่งรู้ยิ่งไม่เข้าใจ"

------- (๔) -------

พี่ : เฮ้ย ... น้ำจะมาแล้วเว้ยเก็บของ

เพื่อน : อ่าวแล้วแกไม่เก็บล่ะ 1?!

พี่ : กูแค่ยุไอ้พวกขี้กลัวอ่ะ ดูเด่ะ ... แม้งเก็บใหญ่เลย ขำว่ะ ...

------- (๔) -------

เพื่อน : มึงดูคนนั้นดิ แม้งเดินเก็บขยะข้างทาง ท่าทางจะบ้าว่ะ เอาเวลาไปอาบน้ำก่อนดีมั้ยวะ

ฉัน : กูว่ามึงเอาเวลาไปแปลงฟันก่อนดิกว่า เหม็นปากมึงวะ ไม่ช่วยไรแล้ววิจารณ์หาพ่อมึงเห
รอ ... ดีแต่เห่าอีกแล้วนะมึง

------- (๖) -------

เพื่อน : กูท้องวะ แกว่าฉันเอาออกดีมั้ยวะ ...

ฉัน : แฟนมึงเอาออกไม่ทันหรือยังไงวะ อ่อนว่ะ

เพื่อน : ช่วยด้วย กูไม่ถามเรื่องนั้นน่ะ

ฉัน : นั่งแหละคำตอบของกู !?!

------- (๗) -------

เพื่อน : กูไม่เข้าใจอยู่ดี อ่ะ

ฉัน : เฮ้ย ... กูล่ะเหี่ยใจกะมึงจริงๆ ผู้ชายเขาไม่รับผิดชอบมึงก็เอาแม้งเป็นผัว แค่เอาออกยังเอาไม่ทัน มึงเอาไรคิดวะ ที่ไปคบกับมัน คนทั้งคนนะเว้ย มึงจะฆ่าคนบริสุทธิ์เพื่อคนควายๆ เนี่ยนะ

ฉัน : มึงจะเอาออก กูขอเด็กคนนี้เลี้ยงเองล่ะกัน กูรู้สึกว่ะ มากๆ ด้วย

------- (๘) -------

เพื่อน : เฮ้ย มึงดูขอทานนั่นดิ เด็กอยู่เลย ... ทำได้ยังไงวะ

ฉัน : ที่หน้ามันไหม้ทั้งหน้าอ่ะนะ

เพื่อน : เออ คนนั้นแหละ

ฉัน : เด็กพวกนี้มันคิดอะไรกันบ้างวะ มันจะขมขื่นมั้ยวะ ... คนเรานี่แปลกนะเพื่อเงินชั่วแค่ไหนก็ทำ เด๋วก็ตายห่าแล้วไม่รู้จะรวยไปไหน สัด!!

เพื่อน : ใช่ ว่ะมึง ...

------- (๙) -------

เพื่อน : มีคนมาแอ๊ดกูเป็นเพื่อนเต็มไปหมดเลยว่ะ

ฉัน : เหรอ

เพื่อน : มีแต่สาวๆ น่ารักน่ารักทั้งนั้นเลย

ฉัน : พวกขายตรงทั้งนั้นแหละ มึงดูคอมเม้นหน้าวอลล์มันก็รู้แล้ว ไอ้ควาย คนเราถ้าอยู่ในทุนนิยมอย่างนี้มันก็มีแต่ผลประโยชน์ทั้งนั้น ขนาดกระหรี่มึงยังต้องจ่ายตังเลย

เพื่อน : เออ เนอะ ...

------- (๑๐) -------

เพื่อน : มึงดูนายกดิโคตรโง่เลย เป็นกูแก้ไปนานแล้วน้ำท่วม ...

ฉัน : กูเห็นวันๆ มึงก็เอาแต่ว่าคนอื่น แล้วก็มายืนเกาไข่ แค่ลูกกะเป๋งมึงยังไม่มีปัญญาล้างเลยจะแก้ปัญหาน้ำท่วม ไอ้หัวขวดเอ๊ย ...

เพื่อน : วันนี้มึงด่ากูแรงจังวะ ...

ฉัน : โทดทีวะ ... กูแค่ไม่ชอบพวกดีแต่เห่าอ่ะ

------- (๑๑) -------

เพื่อน : น้ำท่วมมึงไม่ซื้อของไว้ตุนเหรอ

ฉัน : ไม่อ่ะ

เพื่อน : ทำไมวะ

ฉัน : ให้คนที่เขาไม่ค่อยมัเหอะ กูมีบ้างแล้ว ถ้าคนแม้งซื้อตุนไว้หมด คนที่เขาไม่มีจริงจะเอาอะไรแดกวะ

เพื่อน : มึงก็คิดถึงแต่คนอื่นตลอดอ่ะ สัด !!!

ฉัน : อืม อย่างน้อยถ้ากูตาย ก็ตายไปพร้อมกับน้ำใจแหละวะ ไม่ได้ตายไปกับน้ำท่วมเหมือนพวกมึง คนเฮียไรวะซื้อซะเยอะเลยแต่เสือกอพยพ

------- (๑๑) -------

เพื่อน : ทำไมคนตาบอดเขาถึงร้องเพลงเพราะจังวะ

ฉัน : ฉันว่าบางทีเราก็มีเรื่องให้คิด เรื่องให้เห็นมากไป จนเราหมดแรงก่อนที่จะได้ทำสิ่งที่ใช่ว่ะ ฉันว่านะ บางทีมันก็มากไปอ่ะ

------- (๑๒) -------

เธอ : ทำไมไม่ค่อยรู้สึกว่าแกรักฉันเลยวะ แกไม่ค่อยบอกรักฉันเลย ...

ฉัน : โทดทีว่ะ ฉันพูดคำพวกนี้ไม่เก่งซะด้วยสิ

ฉัน : ฉันอยากมให้แกลองหลับตา อุดหู นั่งนิ่งๆ สักพัก ไม่นานแกก็จะได้ยินเสียงผู้ชายคนนึง เขามีคำบางคำจะบอกแก

เธอ : น้ำตาไหลเลยว่ะ นี่แกบอกรักฉันมาตั้งนานแล้วเหรอ ขอโทษนะเว้ยที่ให้รอตั้งนาน

ฉัน : ไม่เป็นไรหรอก

------- (๑๓) -------

ฉัน : การตั้งใจทำอะไรบ้างอย่างทำไม่มันยากนักนะ เริ่มจะท้อใจนิดๆ แล้วนะ

เฮีย : ก็อย่ากลัวไม่สำเร็จ อย่ากลัวว่าคนจะยอมรับมั้ยสิ

ฉัน : แล้วจะทำไปทำไมถ้าไม่ให้คนยอมรับ

เฮีย : เพราะรักไง มันต้องมีอย่างอื่นด้วยเหรอ

ฉัน : นั่นสินะ ...

เฮีย : รักมันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่มากเลยนะ มันเพียงพอที่จะทำให้เราไม่ท้อใจ มันทำให้เรามีแรงผ่านความยากลำบาก ยิ้มได้ในยามทุกข์ มันนำทางเรากัลบบ้าน และสอนเราเมื่อเรางสงสัย รักสิ่งที่ทำแล้วต่อไปซะ

หญิงสาวในเนื้อกระดาษเอสี่

วันที่เป็นวันที่ 14 แล้วตั้งแต่เธอกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ห้องสี่เหลี่ยมที่ใช้เป็นที่อาศัยนั้นกว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

มันเหน็บหนาวและอ้างว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ... เห็นได้ชัด ... จริงสินะ

เสียงเพลงไม่อาจช่วยคลายเหงาได้ และเสียงของเพื่อนๆ ในสายโทรศัพท์ ก็ไม่อาจบรรเทาความเงียบงัน ผมอยู่คนเดียวไม่ว่าจะมองจากมุมไหน

ทั้งที่เพิ่งจะคุยกันไม่เมื่อวาน แต่มันเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร

“แกทำอะไรอยู่” เธอถาม

“ก็ ... ทำงาน เหมือนเดิมแหละ” ผมตอบไป

“กินไรยัง” เธอถาม

“กินแล้ว” ผมตอบ

“อยู่ไหน” เธอถาม

ผมงงกับคำถามของเธอเพราะผมรู้ว่าเธอรู้อยู่เต็มอกถึงคำตอบเหล่านี้ ผมไม่เคยนั่งทำงานนอกบ้าน แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“อยู่กับใคร” เธอถาม

“แกถามเรื่องเดิมทุกวันทั้งๆ ที่รู้ว่าฉันจะตอบว่าอะไร คือ ถ้าแกไม่มีเรื่องจะคุยก็ไม่ต้องโทรมาก็ได้เว้ย ...” ผมตอบไปด้วยอารมณ์เฉยชาเหมือนอย่างที่เคยทุกทีเป็น ผมไม่ได้โกรธเธอเลยแม้แต่น้อย

“คือไม่ได้โกรธอะไรนะ แต่แกไม่ต้องโทรมาเป็นพิธีก็ได้ อยากคุยจริงๆ ก็โทรมา แล้วคุยอย่างคนรักกันเขาทำกันน่ะ” ผมพูดขยายความ

“แค่นี้นะ ... ฉันไม่มีอะไรจะพูดอ่ะ จะนอนแล้ว” เธอบอก

“อืม” ผมไม่รั้งเธอ

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่น้ำกำลังท่วมกรุงเทพฯ ในช่วงที่ใครบางคนพังคันกั้นน้ำ ในช่วงที่ใครบางคนเพิ่งจะสูญเสียหมาของเขาไป ในช่วงที่ใครบางคนหาซื้อสารส้มไม่ได้ หรือแม้แต่ใครบางคนเพิ่งตายเพราะโดนไฟดูด ทั้งมันเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน

หนึ่งวินาทีของโลกใบนี้ช่างยาวนาน ... ผมคิด

คืนนี้คนพูดน้อยอย่างผมจะส่งข้อความไปบอกแฟนผมว่า ‘ฉันอยากเห็นหน้าแกจัง อยากนั่งข้างๆ แกเหมือนอย่างที่เพิ่งทำเมื่อไม่นานมานี้’ ใช่ ... ผมไม่ได้พูดคำว่าคิดถึง

น่าแปลกนะที่ผมไม่ถนัดที่จะแสดงมันออกมา เป็นคนเฉยชาและแข็งกระด้างในสายตาของคนรัก แต่ดันเป็นคนโรแมนติกสำหรับคนที่รู้จักกันห่างๆ

มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ ...

ผมตั้งคำถามทั้งที่ผมรู้คำตอบนั้นอยู่แล้ว แน่นอนผมรักแฟนผมมาก มากกว่าหลายๆ อย่าง และสำหรับผมการแสดงออกของผมมันมักจะแตกต่างออกไป

ผมรู้ตัวขณะที่เฝ้ามอง ‘ยัยหมีจอมเขมือบ’ นอนหลับ เธอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน และเก็บความรู้สึกต่างๆ ไปฝันต่อ มีบ้างที่เธอละเมอ ... ละเมอว่าผมไม่รักเธอ

‘เราเดินมาไกลเกินกว่าเส้นของความรักแบบเด็กๆ แล้วนะรู้มั้ย’ อีกไม่นานก็จะมีใครบางคนเรียกเธอว่าแม่แล้วนะ ผมคิด

ความรักไม่ได้มีให้เรารับรู้เพียงแค่คำพูดเท่านั้นนี่นา และการไม่ได้ใช้คำว่ารัก ก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะหมดสภาพจากการเป็นโลกทั้งใบของฉันซะหน่อย

อยากให้เธอหลับตาอยู่ แล้วนิ่งๆ สักพักจัง เธอจะได้ยินเสียงจากผู้ชายคนหนึ่ง เขาจะพูดบางคำกับเธอ เธอจะรู้ว่าที่ริมฝั่งทะเล ยังมีเสียงคลื่นที่พยายามบอกรักดวงดาวอยู่ไกลๆ

ยังมีหมาตัวหนึ่งที่เห่าเครื่องบินอย่างไม่เลิกรา ยังมีคนบ้าที่รักเธออยู่ห่างๆ มีผู้ชายประหลาดที่มองเธอตอนเธอหลับ และตื่นมาเพื่อทำกับข้าวให้เธอกิน ปีแล้วปีเล่าที่มันจะผ่านไป

ไม่ใช่ว่าฉันไม่รักเธอหรอกนะ ...

ผมคิด ผมเห็นภาพ ผมจินตนาการขณะมองภาพวาดตลกๆ ของเธอในกระดาษเอสี่ใช้แล้วแผ่นหนึ่ง

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สเตตัส : วันที่ 5 พฤศจิกายน 2554

------- (๑) -------

ผมอยากเป็นนายกคับ

อย่าไปยุ่งกับการเมืองเลยลูก มันมีแต่เรื่องไม่ดี

ก็เพราะมันมีแต่เรื่องไม่ดีผมเลยอยากเปลี่ยนมัน

ลูกทำไม่หรอก มันยาก

ผมว่าการอยู่เฉยๆ ต่างหากที่ทำไม่ได้ ...

------- (๒) -------

พี่ว่าบางทีเราอาจจะเปลี่ยนเขาได้นะถ้าเรารักเขมากพอ

ไม่ได้หรอกพี่ "เราไม่ใช่ลิฟท์" ที่จะเป็นทางลัดให้ใครขึ้นไปข้างบนได้ไวๆ
ทุกคนมีขาก็ต้องขึ้นบรรไดทั้งนั้น ...

เออว่ะ ก็จริงของเอ็ง

------- (๓) -------

พี่ครับผมเป็นนายกไม่ได้แล้วเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ได้มั้ยครับ

ก็เป็นไม่ได้อีกนั่นแหละ มันมีแค่ในทีวีลูกเอ๊ย

คือมันไม่จริงเหรอครับพ่อ

ช่ายลูก มันเป็นเรื่องโกหก

แต่ผมก็ไม่เห็นบ้านไหนไม่ดูเรื่องโกหกเลยนี่ครับ ...

------- (๔) -------

เธอเคยรักฉันบ้างไหม ??

ช่าย ฉันเคยรักเธอ แต่มันนานมาแล้ว ... ตอนนี้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเถอะนะ

ฉันจะอยู่ยังไง ฉันยังรักเธออยู่นะ รู้มั้ย

เอิม ... แต่ เราไม่รักเธอแล้ว เธอล่ะ รู้บ้างไหม ... บางทีเราเปลี่ยนตวเองเพื่อเธอ เราว่ามันยากไปอ่ะ เราเปลี่ยนคนดีกว่านะ ... เธออย่าร้องไห้ให้เราเลย เราไม่ได้มีค่าขนาดนั้น

------- (๕) -------

ทำไมแกไม่ทำงานเพลงออกมาให้มันขายได้หน่อยวะ

ผมยังไม่แก่พออ่ะครับพี่ที่จะคิดอย่างนั้น ยังไม่แก่พอจะคิดว่าต้องสร้างตัว คิดแค่อยากทำงานศิลปะ ให้ดีๆ ก็มีความสุขแล้วครับ

เรื่องแฟนด้วยเหรอ ...

ครับ ผมยังไม่แก่พอ ยังอยากมีช่วงเวลาวัยรุ่นไปอีกสักพัก ไม่อยากให้มันหายไปเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว แล้วก็ไม่อยากไปทำลายเวลาวัยรุ่นของเธอคนนั้นด้วยครับ

------- (๖) -------

อ้าวไปไหนมา ...

ผมไปทำงานเพิ่งกลับมาครับ

น้ำจะท่วมโลกแล้วโว้ยยยยย !! +555

-- * เอิม ขนาดนั้นเลยเหรอครับ เรากลัวน้ำโดยไม่ต้องโดนหมาบ้ากัดแล้วเหรอครับเด๋วนี้

------- (๗) -------

แกเคยเป็นมั้ยวะ ที่มีความสงสัยในหัวเป็นล้านๆ วนไปวนมา แต่จริงๆ อยากรู้แค่อย่างเดียว

แล้วแกอยากรู้อะไรวะ

อยากรู้ว่าเขารักกูมั้ยว่ะ

นี่แกพูดเป็นประโยคบอกเล่านี่ มันจะมีคำตอบได้ไงวะ ... !?!

------- (๘) -------

siri search google ให้หน่อย ... !!

คุณให้ siri Searh คำว่าอะไรคะ

Love สะกดด้วย l-o-v-e

กรุณารอสักครู่ค่ะ ... นี่คือผลการค้นหาของคุณค่ะ

siri นี่ไม่ใช่ความรักหรอกนะ นี่มันแค่ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง sex เท่านั้นเอง

------- (๙) -------

ถ้าโลกจะแตกนายจะบอกอะไรเรา

เออ .. ฉันรักเธอไง ...

................................... อ ... อืม ... -///-

นายรักเราเหรอ

เปล่าสักหน่อย ... เราเปลี่ยนเรื่องเถอะ ...

------- (๙) -------

เมื่อวานวันอะไร

วันศุกร์ไง บ้านไม่มีปฏิทินเหรอ

แล้ววันที่เท่าไหร่

4

วันอะไร ...

ศุกร์ไง เอ๊ะ !!

คิดแล้วว่านายต้องลืม ฉันก็คงต้องเสียใจกับความจำนายอีกปีสินะ

มันก็พอๆ กับการที่เธอลืมวันที่ 11 มกรา นั่นแหละ ... !!
อยากได้อะไรก็บอกมา เด๋วซื้อให้ ..

------- (๑๐) -------

พี่ น้ำท่วม พี่ไม่เก็บร้านเหรอ

พี่ไม่เก็บหรอก ก็อยู่มันที่นี่แหละ บ้านอยู่นี่จะไปอยู่ที่อื่นได้ไง
คนทำมาหากินตรงนี้ตั้งแต่หนุ่มๆ ไปที่อื่นนอนไม่หลับหรอก ........

จะดีจะจนก็บ้านเราเนอะพี่

ใช่ ...

------- (๑๑) -------

เป่าเค๊กสิลูก

... พ่อครับ

ว่าไงตัวแสบ

วันนี้ก็เป็นวันเกิดท้องฟ้าเหมือนกันเหรอครับ

ทำไมล่ะลูก

ก็ท้องฟ้าจุดเทียนเต็มไปหมดเลย

อืม ... ช่ายลูก วันนี้ก็วันเกิดท้องฟ้าเหมือนกัน

ท้องฟ้าพี่ขวบแล้วฮะ ผมมีนิ้วไม่พอนับอ่ะพ่อ


วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การเดินทางของ iphone 4s

"เราเป็นผลพวงมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเราเสมอ โลกนี้มีเวลามันก็เลยมีลำดับของสรรพสิ่ง"

ผมนั่งอยู่ตรงนี้หลายวันแล้ว มันเป็นวันหยุดของใครหลายๆ คน แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นวันที่ใครอีกหลายคน ต้องทำงานกันอย่างหนัก หนักเป็นสองเท่า

'ใครบางคนอาจยิ้ม แต่ใครบางคนอาจต้องกลืนน้ำตา'

ในรอบเดือนที่ผ่านมาเราเห็นภาพของกำแพงถุงทรายหน้าบ้านทุกหลัง เราเห็นภาพของกำแพงปูน เราเห็นแม้แต่ภาพของการเอาพลาสติกใส่มาปิดประตูแล้วแป่ะด้วยดินน้ำมัน เราได้เกิดมาและเป็นอยู่ เดินไปเดินมาในโลกที่มี iphone เรามีลมหายใจอยู่ในยุคสมัยที่คนเรา 'กลัวน้ำ' มากที่สุด กลัวโดยไม่ต้องอาศัยการช่วยเหลือของหมาบ้า

มันหมายถึงยุคสมัยที่เราอ้างว้าง ... แปลกแยก ... และเหน็บหนาวในความรู้สึก เราดันใช้ชีวิตในยุคที่คนส่วนใหญ่บูชาเครื่องมือสื่อสาร มันเป็นยุคที่เราอยากมีใครสักคน เป็นยุคที่ siri กลายเป็นเพื่อนสนิทของเรา

เป็นยุคที่เราบอกรัก iphone 4s

ผมนั่งคิดตอนเข้าห้องน้ำ คิดขำๆ ถึงคำพูดของ 'ไอน์สไตน์' ที่ฮิตติดหูขนาดไม่ต้องเอามาเขียนกันให้เมื่อยมือ ผมคิดว่า ... iphone เกิดมาจากวงจรไฟฟ้า วงจรไฟฟ้ามันก็มีกระแสไฟเดินทางไปๆ มาๆ เหมือนไฟปิดกับเปิด คล้ายตอนเด็กๆ ที่เคยเรียนกันว่าภาษาของเครื่องจักรก็ใช้หลอดไฟปิดๆ เปิดๆ นี่แหละ ในการสร้างมันขึ้นมา แล้วหลอดไฟมันจากไหน ...

ก็มาจากคนๆ หนึ่ง ชื่อ 'เอดิสัน'

ลำดับไปมา ชายคนนี้เป็นคนที่ไม่เคยเห็นหลอดไฟ เขาคิดถึงมันในขณะที่โลกนั้นเต็มไปด้วยแต่ตะเกียง เขาอาจจะฝันไปว่า ถ้าโลกนี้คนเราไม่ต้องอยู่ในความมืดจะดีแค่ไหน เราจะได้เห็นหน้าใครสักคนตลอดเวลา เราทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างเสรีไม่ต้องหลบซ่อน หรือกลัวโจรผู้ร้ายอีกต่อไป เราจะมีแสงดวงหนึ่งไว้คอยนำทางสำหรับเราเสมอ

และจากแสงดวงหนึ่งก็กลายเป็นแสงที่ส่องสว่างไปทั่วทั้งเมือง

ว่าแล้วเขาก็เริ่มต้นสร้างมัน เอาผลจากความล้มเหลวของคนอื่นมาทำต่อ ด้วยแรงบันดาลหัวใจจากไอ้ภาพที่จะสำเร็จรึเปล่าก็ไม่รู้ของเขาในเวลานั้น ...

โลกนี้มีลำดับ ... มีสิ่งที่อยู่ก่อนหน้าเรา และมีสิ่งที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า บางที 'สตีฟ' อาจคิดไปในแบบเดียวกัน "ถ้าเราทุกคนไม่ต้องเหงาอีกต่อไป ไม่ต้องอยู่อย่างเดียวดาย ไม่ต้องตายไปโดยลำพัง"

ลำดับเป็นสิ่งที่เราไม่ได้เรียงเอง เราเป็นผู้ถูกเรียงโดยสรรพสิ่งเสมอ เราเป็นผลพวงของสิ่งที่มีอยู่ก่อนหน้าเรา แน่นอนเราไม่ได้เกิดมาอย่างไม่มีเหตุผล นั่นคือเราไม่ได้อยู่ไปวันๆ ชีวิตของเราสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ ... ถ้าเราจะทำซะอย่าง

น้ำท่วม ความมืด และความเหงา อาจจะทำให้เราหวั่นไหวบ้าง เซไปบ้างบางครั้งแต่มันไม่ได้กำหนดเรา แต่เราเลือกที่จะยิ้มได้ เลือกที่จะเปลี่ยนตัวเราเองได้ เลือกที่จะคิด เลือกที่จะฝัน ที่จะเป็นได้ออย่างที่อยากเป็น

บางทีอาจมี สตีฟ ในตัวเรา อาจมี เอดิสัน ในตัวเพื่อนของเรา ลองเปิดใจให้โอกาสตัวเราได้ทำอะไรตามความฝันบ้าง ... ใครจะรู้ ไม่แน่ เราอาจกลายเป็นสรรพสิ่งที่ลำดับสรรพสิ่งอื่นๆ ก็เป็นไปได้

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ระยะห่างระหว่างฉันกับเม็ดฝน

"ระหว่างที่ฝนเม็ดบางร่วมลงมาจากฟ้า มันไกลแค่ไหนกันนะ ... ใครจะรู้ว่าฝนเม็ดเล็กๆ นี้จะแสนหนักอึ่ง ท่วมท้นผืนแผ่นปฐพีนี้..."

น้ำตาของชายผู้เป็นพ่อและหญิงผู้เป็นแม่ไหลนองอาบหน้า หลังจากที่เห็นร่างไร้วิญญาณของลูกชาย ใครบางคนเดินออกจากบ้านไปโดยเอ่ยคำลาเพียงสั้นๆ และใครบางคนเฝ้ารอการกลับมาของใครบางคน เฝ้ารอเหลือกันที่จะได้กินข้าวกันพร้อมหน้า

ใต้ดวงไฟสีส้มพ่อแม่และลูกชายอาจได้สนทนากัน

"แต่ฝนเม็ดบางนี้ช่างหนักอึ่ง"

ระยะทางที่เจ้าเม็ดฝนนี้เดินทางลงมามันช่างยาวนานและเวิ้งว้าง หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเบื่องล่าง ในขณะที่ใครบางคนยิ้มแล้วหัวเราะร่า ในขณะที่ใครบางคนตัดต่อรูปวิจารย์การเมือง ในขณะที่ใครบางคนอกหัก กลายเป็นคนที่ไม่ใช่ของใครบางคน

มันก็มีบางคนที่ทิ้งเรื่องส่วนตัวเอาไว้เบื่องหลัง และก้าวเท้าออกมาทำเรื่องส่วนรวมโดยไม่คิดชีวิต และสุดท้ายท้องฟ้าใจร้ายก็พรากเขาไปจากเรา

"เวลาของเรามันไม่เท่ากัน"

ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ทุกคนต้องตายสักวัน ดังนั้นไม่จำเป็นที่เราต้องมานั่งคำนวนว่าจะกำไรหรือขาดทุนเวลาที่เราจะช่วยใครสักคน มันน่าจะเป็นเรื่องง่ายที่สุดในยามนี้ มันน่าจะง่ายกว่าคิดเรื่องส่วนตัวซะอีก ...

ผมขอสดุดีชายคนนั้น เขาคือคนที่ทำมากกว่าพูด เขาต่อสู้ในขณะที่หลายคนเลือกที่จะวิ่งหนี ในขณะที่ใครบางคนขี้ขลาด เขาก็จะเป็นแบบอย่างที่สอนเราให้รู้ว่าความเข้มแข็งคืออะไร เขาสอนมันด้วยชีวิตของเขาเอง

เปาะแป่ะ --- !!

ฝนเม็ดบางตกลงสู้พื้นเบื่องล่าง แผ่นน้ำแตกกระจายออกเป็นวง ...

ด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อม ...

มีรูปของพระองค์ติดอยู่ที่ข้างฝาบ้านมาตั้งแต่เด็ก ผมถามพ่อว่า 'นี่คือใครเหรอครับ' พ่อตอบว่าพระองค์ คือ 'ในหลวง' ผมถามพ่ออีกว่า 'ในอะไรนะครับ !?!' ด้วยความที่ไม่ประสีประสา พ่อจึงต้องอธิบายเรื่องราวของคำราชาศัพท์ และเรื่องราวของพระองค์ 'การเป็นพ่อคนมันจึงไม่ง่ายเอาซะเลย ...'

"พระองค์เป็นผู้คุ้มครองเราจากอันตรายลูก ทรงดูแลเราให้ปลอดภัย" เป็นนิยามแรกเกี่ยวกับพระองค์ที่ผมได้ยิน ในทุกๆ เช้า ก่อนไปโรงเรียนพ่อจะถามว่า "หวัดดีในหลวงรึยังวันนี้" ผมก็จะยกมือ "หวัดดีครับในหลวงวันนี้สบายดีมั้ยครับ" ตามประสาเด็กอนุบาลของผม

แต่พอโตขึ้นได้ดูทีวีนอกจากช่องการ์ตูน ได้ฟังพระบรมราโชวาททางสื่อ ได้อ่านพระมหาชนกก็เริ่มเข้าใจ เริ่มรู้จักพระองค์มากขึ้นตามลำดับ ในที่สุดก็รู้ว่าพระองค์นี่แหละที่ปกป้องเรามาตลอด ครั้งนี้น้ำท่วมกรุงเทพฯ ก็นึกถึงพระองค์เป็นคนแรก นึกถึงและเป็นห่วงที่ทรงต้องเหนื่อยเพื่อพวกเรามาตลอด

พระองค์ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ทำตามความฝัน หลายสิ่งที่พระองค์ทำนั้นสร้างสรรค์และนอกกรอบมาก มันสอนให้ผมรู้ว่ามนุษย์เรามีความสามารถจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นหากเรามีความรัก ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่าหากคนเรารักใครสักคน หรือต้องปกป้องใครสักคน เราจะทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างไม่จำกัด เราจะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยสติปัญญาแบบใหม่ ด้วยวิธีการแบบใหม่ที่แม้แต่เราอาจจะยังต้องขนลุก

พระองค์ทรงเป็นแบบอย่าง ทรงย่ำรอยเท้าไว้ให้เราอย่างชัดเจน หากเรามองดีๆ เราเดินตามและไม่หลง พระองค์ทรงประคองบ้านเมืองนี้เอาไว้มาหลายทศวรรษแล้ว ถึงเวลาที่เราทุกคนจะทิ้งความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว มารักใครสักคน มาประคองใครสักอย่างที่พระองค์ได้ทำมาตลอด

ได้เวลาทำหน้าที่เป็นลูกกตัญญูแล้ว ...

น้ำมาคราวนี้มันได้ย้ำเตือนเราถึงหน้าที่ที่สำคัญ มันย้ำว่าใครบ้างที่อยู่กับเรา ย้ำเตือนว่าเราเหลือใคร ย้ำเตือนว่าบ้านเราบางทีมันก็ใหญ่เกินไป กว้างไปสำหรับครอบครัวเรา น้ำท่วมพื้นที่น้อยลงอาจทำให้เราใกล้กันมากขึ้น สิ่งเหล่านี้คือโอกาสของเรา โอกาสที่เราจะทำบางอย่างที่เรายังไม่เคยได้ทำ

คว้ามันไว้ซะ ....

ความทรงจำที่แสนดีของพวกเรา

ผมขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคน ที่สั่งหนังสือเล่มนี้ ... ผมตั้งใจว่าจะไม่ขาย ... และเพื่อนๆ จะไม่ได้ซื้อมัน เพื่อนๆ จะสนับสนุนผมตามกำลัง หนังสือไม่มีการตั้งราคา มันทำจากวัสดุใช้แล้ว มันเขียนและเย็บเล่มขณะที่ประเทศนี้กำลังเข้าสู้สภาวะที่ใครหลายคนเรียกว่าวิกฤติ

ผมมองสิ่งเหล่านี้ต่างออกไป ผมมองว่าเราต่างเกิดมามีหน้าที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในสันดารอยู่แล้ว แต่เราถูกบางอย่างโปรแกรมเราใหม่ ให้เห็นแก่ตัว ให้จำเป็นต้องปากกัดตีนถีบ คือ ทำงานด้วยตีนและด้วยปาก

'ยังดีที่เราอุตสาห์เหลือเอาไว้' ใครบางคนยังไม่เอามันไปจากเรา ผมแนะนำวิธีใช้มันว่า ให้เอามันไปกอดใครบางคน รั้งใครบางคนเอาไว้ อยากปล่อยให้เขาไปจากเรา บางครั้งปากเราแข็ง บางครั้งสังคมบีบให้เราทิ้งความรักและเลือกการเอาตัวรอดมาก่อน ... แต่ผมจะไม่ยอมให้มันเป็นอย่างนั้น

ผมได้ทำหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา และผมเข้าใจว่าเพื่อนๆ อาจจะคิดกับมันตามความเคยชินว่าจะขายด้วยวิธีที่ทำๆ กันมา แต่ผมจะไม่ทำกับเพื่อนของผมอย่างนั้น บางอย่างบอกกับผมว่า เพื่อนๆ ไม่ใช่ลูกค้าของผม ทุกคนยังคงเป็นเพื่อน เป็นครอบครัวของผมเสมอ ดังนั้นทุกวันที่ผ่านไป ผมทำอะไร เราก็จะมีส่วนร่วมทำมันไปด้วยกัน ...

หนังสือเล่มนี้มีคนสั่งเข้ามาประมาณ 20 กว่าเล่ม แต่กระดาษมี 15 เล่ม ผมจะหากระดาษมาทำจนครบแล้วส่งมันพร้อมๆ กัน ทุกคนจะได้มันพร้อมกัน โดยไม่มีใครได้ก่อนใคร ช่วงเวลาที่ผมลุยน้ำไปเอากระดาษ และช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย มันคือความผูกพันของพวกเรา

หนังสือเล่มหนึ่งเตือนให้เรารู้ว่านอกจากเราแล้วก็ยังมีคนอื่นในจักรวาลอันแสนยิ่งใหญ่ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเอาตัวรอด ... เราเกิดมาเพื่อรักใครสักคน ... และไม่ยอมเสียเขาไป ...

ผมมีความลับซ่อนในเล่มนี้ เพื่อนๆ หามันให้เจอนะ ส่วนเรื่องเงินผมคิดวิธีจ่ายมันเอาไว้แล้ว ตอนนี้ยังไม่บอก มันเป็นความลับ แต่ตีมเดียวกับหนังสือแน่ๆ

ด้วยรักจากกำลังในมัดกล้าม ... 
และจิตใจที่มีทั้งหมด ... 

"สุนทรียกาญจน์"

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ความคิดถึง ... ยังมีชีวิตอยู่ในหัวใจฉัน

โลกนี้มีคำว่า ‘คิดถึง’ น่าแปลกใจนะ ที่คำเล็กๆ เพียงคำหนึ่งนั้นประกอบขึ้นมาจากเสี้ยววินาทีที่แสนดีนับหมื่นพัน คำพูดเพียงคำหนึ่งที่อาจจะรวบรวมทุกความรู้สึกเอาไว้ อันที่จริงแล้วมันอาจจะห่อหุ้มโลกทั้งใบของเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้ด้วยซ้ำ

เส้นบางๆ ของเวลาได้แยกเราออกจากกัน บางคนร้องเรียกเราจากเมื่อวาน แต่เมื่อเราอยู่ในวันนี้ เรากลับห่างจากเขาไกลแสนไกล ทั้งๆ ที่เรากับเขาอาจจะยืนอยู่ที่เดียวกัน

ในขณะที่เราหลับ เวลายังคงเดินไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอและเที่ยงตรง พระอาทิตย์จะยังคงขึ้นที่ ขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเช่นเดิม สิ่งที่ต่างออกไป คือ เมื่อเราเอานิ้วขึ้นมานับ คนที่เรารักก็จะน้อยลงไปทีละคนๆ

ตอนฉันเป็นเด็ก ฉันบอกพ่อของฉันว่า “พ่อฮะ ผมบวกเลขข้อนี้ไม่ได้” พ่อถามผมว่า “ทำไมล่ะ” ผมตอบพ่อไปด้วยคำตอบตลกๆ ว่า “นิ้วผมไม่พอฮะ” พ่อหัวเราะและสอนผมให้ทดในใจ

ตอนนั้น มันทำให้เด็กชายแสนธรรมดาคนหนึ่งกลายเป็น ‘กล่องความทรงจำเครื่องที่’ ผมรู้จักการเก็บเรื่องราวต่างๆ ใส่เอาไว้ในใจ รู้ว่าคนเราสามารถเก็บเรื่องอะไรก็ได้เอาไว้ในใจ ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลข

บางทีมันอาจจะเป็นภาพของใครสักคน ...

แต่วันนี้นิ้วของผมเพียงพอที่จะนับจำนวนคนรักของผม พวกเขาทยอยจากไปที่ละคน วันนี้ก็เช่นกัน เขาจากผมไปแล้ว ชายผู้ซึ่งสอนผมนับนิ้ว ผมหยิบมือถือขึ้นมา เปิดข้อความในกล่องข้อความล่าสุด

“นี่พ่อเองนะ ถ้าลูกได้ข้อความก็โทรกลับมาหาพ่อบ้างนะ พ่อคิดถึง อยากคุยกับลูก พ่อไม่ได้เอาเหรียญมาหยอด อีกเดี๋ยวมันคงจะตัดแล้ว พ่อรัก ...” โทรศัพท์ตัดไป

มันมีข้อความแบบนี้เป็นร้อย เพราะผมไม่ค่อยโทรหาพ่อเท่าไหร่ ผมคิดว่าผมไม่ค่อยมีเวลาสำหรับคุยกับท่าน เพราะต้องทำอะไรหลายอย่าง ‘ผมทำทุกอย่างยกเว้นเรื่องสำคัญ’

“ผมก็คิดถึงพ่อเหมือนกัน” ผมพูดมันในห้องที่เคยมีพ่ออยู่ พูดมันบนเตียงที่พ่อเคยนอน พูดมันขณะที่นั่งเก้าอี้ตัวเดียวกับท่าน พูดมันบนพื้นที่พ่อเคยเหยียบ ที่เคยใช้เวลาช่วงหนึ่งของชีวิตเดินก้าวไปด้วยกัน

ตอนนี้ผมเริ่มจะคิดถึงท่านขึ้นมาแล้วล่ะ มันเหมือนที่ท่านเคยคิดถึงผม เคยมอบโลกใบหนึ่งให้เด็กชายคนหนึ่ง เด็กชายผู้เป็นลูก

ผมมองดูนิ้วมืออีกครั้ง พลางนับ มันมีไม่กี่คนที่เหลืออยู่ และวันหนึ่งมันจะน้อยลงอีก ‘ผมคิดถึง’ ผมจะพูดมันให้ดังยิ่งกว่าที่เคย จะออกเสียงคำๆ นี้ออกมา ให้คนเหล่านั้นรู้ว่าผมพูดกับพวกเขาอยู่ พยายามทำมันให้ดีที่สุด ก่อนที่ ‘เมื่อวาน’ จะขังพวกเขาไว้ตลอดกาล ...

ผมยิ้ม เอื้ิอมมือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด

“ฮัลโหล อ้อเหรอ ฉันคิดถึงแกว่ะ ... ไม่มีไรหรอก ... อยากบอกแกเฉยๆ น่ะ” 

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สิ่งที่ถูกเชื่อว่าจริง

สิงโตเจ้าป่าสอนลูกชายของเขาว่า "จงรักษาสมดุลของป่านี้ไว้"

เค้าบอกให้ลูกชายของเขาเคารพผู้เพื่อนร่วมป่าทุกครั้งที่กิน อย่ามองว่ามันเป็นของเล่น หรือเพียงแค่มื้ออาหาร สมดุล คือ yเมื่อเราตายไปร่างกายของเราก็จะกลายเป็นต้นหญ้าให้ละมั่งกินเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีอะไรคงอยู่ฐาวร ทุกอย่างล้วนมีขึ้นแค่เพียงชั่วคราว ณ จุดหนึ่งมันจะกลายเป็นอดีต

แล้วถ้า ...

บ้านเมืองกลายเป็นคอนกรีตจนหมดสิ้น ผืนดินกลายเป็นถนน ต้นไม้กลายเป็นเสาไฟ แล้วร่างกายของเราจะกลายเป็นต้นหญ้ามั้ย ละมั่งจะกินอะไร กลับกันเรากลับเลี้ยงสัตว์เอาไว้เพื่อกิน กินเพื่อความอร่อย กินเพื่อความบันเทิง เอาความสนุกลิ้นเข้าว่า แล้วเราจะรักษาสมดุลไว้ได้อย่างไร เรากลายเป็นเจ้าโลก (ผู้ยิ่งใหญ่กว่าเจ้าป่า) ที่ไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง

น้ำท่วมเพราะเราไม่มีดิน แต่เรากลับมีแต่ถนน เรามีท่อเพราะเรามีถนน เรามีอุโมงระบายน้ำเพราะเรามีถนน เรามีถนนเพราะเอามีรถ เรามีรถเพื่อธุรกิจ เรามีธุรกิจเพื่ออะไร ... "การแก้ปัญหาของเรามันคือการสร้างปัญหาเพื่อหาทางแก้ต่อไปเรื่อยๆ"

เราสร้างระบบการซื้อขาย สร้างเศรษฐกิจแล้วเราก็ดันเชื่อจะเป็นจะตายว่ามันคือวิถีชีวิตจริงๆ ของเรา เราเรียนหนังสือเพื่อหางานทำแล้วเราดันเชื่อระบบการศึกษาว่าที่มีอยู่มันดีที่สุด มันคือคำตอบ เชื่อมากจนเอนท์ไม่ติดก็เครียดกันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต เครียดราวกับว่าชีวิตนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว "เรากลายเป็นปัญหาซะเอง"

ทั้งๆ ที่คำตอบของปัญหานี้มันอยู่ในโลกที่เราบอกว่าล้าหลัง ไม่ทันสมัย ความสุขล้นกลับอยู่ที่นั่น แสงสีทองของพระอาทิตย์ กับรอยยิ้มบนผืนหญ้าของเหล่าแมกไม้อยู่ที่นั่น แต่เราดันไม่เชื่อ ...

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สเตตัส facebook ในรอบหลายเดือน

ฉันกับเธอเราอยู่กันอย่างห่างๆ แต่เรากับเรียกมันว่า 'ความใกล้ชิดคงที่' ในความห่างนี้เราไม่ได้แยกจากกันซะทีเดียว เราคิดถึงกันบ้าง เราดึงดูดกันบ้าง เราแอบมองเงาของกันและกัน คราดสายตา แต่ไม่อาจหลุดออกไม่นอกวงโคจร ... เป็นอิสระอยู่ภายใต้พันธนาการ ...

ฉันตากผ้าในวันที่ฝนตกหนัก ฉันกินในตอนที่อิ่มแปล้ ฉันนอนตอนที่สดชื่อนสุดๆ บางครั้งชีวิตเรามันก็ไม่มีเหตุผล ... มันเหมือนกับที่ฉันรักเธอ ~

น้ำท่วมเป็นเมตร ที่ต่างจังหวัด บางคนเสียหายอย่างหนัก บางคนแย่งอาหารกัน บางคนกำลังคิดสั้น ... ถึงเวลาที่พวกเราต้องทำอะไรกันบ้างแล้ว เพราะนี่เป็นโอกาสที่เราจะแสดงว่ารอยยิ้มแห่งสยามมันไม่ได้จางหายไปไหน การอยู่อย่างตัวใครตัวมันอย่างที่ผ่านมาไม่ช่วยแก้อะไร "ร่วมมือกัน เราทำได้ทุกสิ่ง"

น้ำท่วมกรุงเทพ 2485 มีเรือสัญจรไปมา อยู่ทั่วทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนฯ จากภัยธรรมชาติกลายเป็นภาพที่งดงาม วิถีชีวิตที่มีไม้พายประจำกาย ผู้คนต่างยิ้มแย้ม ไม่ตื่นตระหนกอย่างในทุกวันนี้ ... บางครั้งอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด สูดลมหายใจลึกๆ สู้กับมันสิ อย่ากลัวเลย

เรามีแรงหน่วงเหนี่ยวระหว่างกัน เธอกับฉัน เหมือนจะไกลด้วยระยะทาง แต่อะไรบางอย่างในตัวเอาสองคนก็มักจะดูดเรา ให้เข้ามาอยู่ใกล้ๆ กัน สุดท้าย "หัวไหล่ก็ชนหัวไหล่ ใจก็ประสานใจ"

สมรู้ คล้ายๆ สมสู่ มันคล้ายๆ สมเสร็จ ... บางครั้งสมรู้สมสู่แต่ไม่เสร็จ ... การต้องใจทำอะไรไม่ได้หมายความว่ามันจะสำเร็จเสมอ มันต้องพยายาม ถ้าสมรู้พยายามสมสู่ไม่แน่ อาจจะสมสู่จนสำเร็จ ...

ต่อให้มีใจสักร้อยดวง มันก็จะไม่มีของเธอ

การลบเบอร์โทรศัพท์ ไม่ได้หมายความว่าจะลบภาพเธอให้หัวออกไปได้ ไม่ได้หมายความว่าจะลบเสียงของเธอในรูหู ไม่ได้หมายความว่าจมูกของฉันจะไม่ได้กลิ่นเธอ คนนอนเตียงเดียวกันทุกวัน ตดเธอฉันยังเคยดม ... แค่เบอร์หายเธอไม่หายไปไหนหรอกนะ

มองไปรอบๆ ผู้คนรีบๆ คนที่ตลาดกินข้าวกันเร็วขึ้น เด็กเสริฟก็เสริฟเร็วขึ้น คนผัดก็ผัดเร็วขึ้น ยามก็หลับเร็วขึ้น แม่ค้าก็ด่าไว้ขึ้น หมาเห่าเร็ว ยุงกัดเร็ว คนป่วยเร็ว หมอรักษาเร็ว ... ทั้งหมดเป็นเพราะน้ำจะท่วม ... แต่น้ำท่วมไม่ทำให้ฉันรักเธอเร็วขึ้นนะ ... มันยังค่อยๆ ดูกันไปเหมือนเดิม

เค้าว่าคืนนี้น้ำจะท่วม คนเก็บของกันใหญ่ 7/11 คนแน่นมาก ... ผู้คนพากันใส่ขาสั้น บางคนถึงขนาดเลิกกับแฟนก่อน รอน้ำลดค่อยมาคบใหม่ บางคนป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายอยากตายมากแต่ไม่มีโลง เพราะร้านทยอยปิดกัน เฮ้อ ... นี่แหละวาระแห่งชาติ ชาตินี้ชาติเดียวพอไม่ต่อชาติหน้านะ ...

คนเราไม่ได้อยากให้ซับน้ำตาเท่ากับการมีคนอยู่ข้างๆ ไม่ใช้ผ้าเช็ดหน้า แต่เป็นหัวไหล่ของฉันกับเธอที่ชนกัน ...

สงสัยว่าครูพละทุกคน เวลาจะให้ทำอะไร ทำไมต้อง "อึ้บ" ทุกที "ครูนับแล้วกระโดดพร้อมกันนะ 3 2 1 เอ้า อึ้บ !?!"

เรื่องของตัวเองไม่ได้ยิ่งใหญ่เสมอไป มันไม่ได้ทำให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก อย่าทำราวกับว่าตัวเราเป็นแกนของโลกนี้ สนใจคนอื่นบ้าง หัดรักคนอื่นบ้าง หัดที่จะให้คนอื่นบ้าง ...

พ่อมักจะซื้อขนมที่เราชอบทิ้งไว้เสมอ เผื่อว่าเราจะกลับมากิน "เผื่อว่า" พ่อจะเผื่อเอาไว้แบบนี้ทั้งๆ ที่รู้ว่านานๆ เราจะกลับมา หากจะหาใครสักคนนึงที่ซื่อสัตย์กับความรักโดยไม่หวังผลตอบแทน ก็ต้องเป็นท่านแน่นอน

ในชีวิตของเราหนึ่งชีวิต ย่อมต้องการใครสักคนที่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะยังอยู่ข้างเดียวกับเรา ท่ามกลางผู้คนมากมาย ... แต่เมื่อหาไปก็ไม่เจอ เราเจอเพียงคนที่คล้ายๆ ว่าจะเป็นคนนั้น ในที่สุดเรากลับค้นพบว่าเค้าเองอยู่ข้างๆ เรามาตลอด ... "วันนี้ผมยังรักและคิดถึงพ่อเหมือนเดิมครับ"

‎"ถ้าเราตกหลุมรักคนสองคนพร้อมๆ กัน อย่าเลือกเพียงคนที่เรารัก จงเลือกคนที่เราขาดเขาไม่ได้"

บางครั้งคนเราก็มีแค่ "ขอโทษ" กับ "ไม่เป็นไรนะ" ไม่จำเป็นต้องทิฐิ ไม่ต้องมีมากนักก็ได้ศักศรี ไม่ต้องมีหนักหรอกความเย่อหยิ่ง กับคนที่เรารัก กับเพื่อร่วมชาติ กับคนในครอบครัว ... ของแบบนั้นฉันไม่ต้องการหรอก แค่คำขอโทษแล้วก้าวต่อไปก็พอแล้ว ...

สำหรับผู้ชาย ความน่ารักไม่ได้อยู่ที่มัดกร้าม หรือหน้าตา มันอยู่ที่นิสัยใจคอ ถึงเวลาผ่านไป จากเด็กกลายเป็นชายหนุ่ม ทว่าถึงอย่างไรมองดีๆ เราก็จะเห็นเด็กผู้ชายอยู่ดีนั่นแหละ ... ดังนั้นความสวยงามของความรักนั้นจึงไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ เด็กคนนั้นต่างหากที่น่าสนใจ

นอกจากเพลงจะมีไว้ฟังแล้ว มันยังมีไว้พูด โดยเพลงเราจึงสื่อสารกันทางอารมณ์ และเข้าใจความรู้สึกของอีกคนนึงได้ ผ่านบรรยากาศของเพลง ผ่านเครื่องดนตรี เราไม่อาจจะหลอกตัวเองว่าสนุกเวลาร้อง หากเราไม่สุกจริงๆ ...

ทีแรกเค้าบอกว่าแกฝันเหยิน ฉันไม่เชื่อเถียงแทนแกไปดอกใหญ่ แต่พอแกจะพูดเสริม ... อืมหืม ... กูไม่น่าเถียงแทนมึงเลย

ไม่ดีเด่อะไร ไม่ใช้คนที่ดีพร้อม ยังรู้ตัวเสมอว่าไม่สมบูรณ์ แต่ก็พยายามเหลือเกินที่จะดีขึ้นอย่างไม่เคยถอดใจ ... สักวันมันต้องดีกว่านี้แน่ๆ

ถ้าโลกนี้ไม่มีผู้หญิง ความอ่อนหวานในโลกจะน้อยลงมั้ย ... สำหรับผมคงน้อยลงไปมาก เพราะทุกวัน ตั้งแต่มีแฟนก็เลิกกินน้ำตาลมานาน 5 ปี แล้ว ...

‎"ดีแค่ไหนที่ได้ปวดขี้เมื่อยังมีโอกาส" เราไม่รู้วันและเวลาชีวิตของเรา รีบทำในสิ่งที่ตั้งใจซะ ปล่อยเอาไว้จะปวดท้องเปล่าๆ

ตราบใดที่ดวงดาวยังสุกสกาวบนฟ้า ฉันจะอยู่เพื่อปกป้องเธอไม่ไปไหน ...

อ่านหนังสือของนู๋ดีแล้วรู้สึกว่าตัวเองคิดถูกแล้วที่ไม่ทำงานประจำ ไม่งั้นคงลืมไปว่าหนึ่งชีวิตของเราทำอะไรไดหลากหลายจริงๆ ทุกวันนี้กลับดีใจ ที่ไม่ได้อยู่ในอาชีพอะไรเลย เพราะเขียนที้งหนังสือ แต่งเพลง วาดรูป เล่นดนตรี สร้างเว็บ ทำกับข้าว เขียนโครงการช่วยเหลือสังคม ฯลฯ ก็คุ้มแล้ะ หากไปทำงานอย่างคนอื่นคงไม่ได้ใช้ความสามารถขนาดนี้แน่ๆ อยากให้เราเชื่อร่วมกันว่า เราไม่ได้เก่งเพียงอย่างเดียวเหมือนที่ระบบการศึกษาพยายามยัดเยียดให้เราเชื่ออย่างนั้นมาตลอด สู้ๆ

ความสุขคืออะไร ... คือการเข้าใจในความทุกข์ และไม่ตกเป็นเครื่องมือของความทุกข์ ... คือรู้ตัวว่าความทุกข์เป็น "สภาพวะ" สภาพที่ไม่เที่ยง มันจะต้องผ่านไป และในไม่ช้าก็จะกลับมาอีก

ล้มบ้างกได้นะ เหนื่อยบ้างก็ได้นะ เจ็บบ้างก็ได้นะ ผิดหวังบ้างก็ได้นะ ชีวิตอ่ะ ... ไม่ต้องไปดิบดีทุกเรื่องหรอก ... ถ้าเธอเสียใจจะไปซบไหล่ใครกัน ในเมื่อเธอพยายามซะอย่างนั้น ...

คนเรานี่แปลกเรื่องอยากลืมเสือกจำได้แม่น ... เรามักจะจำความล้มเหลวครั้งสำคัญของเราได้ดีชนิดฝังใจ แท้จริงมันอาจเป็นข้อดีที่ทำให้การก้าวขาครั้งต่อไปมีโอกาสล้มเหลวซ้ำน้อยลง แม้ว่ามันดูจะโหดร้ายไปสักหน่อยก็ตาม

แคร์ทำไมแค่ผู้ชายควายๆ คนนึง ที่แยกว่าอะไรดีหรือเลวไม่ได้ อยากได้คนแบบนี้มาเป็นพ่อของลูกเหรอ ... ไม่หรอกไม่มีใครเค้าอยากได้

บางทีเราต้องสงวนคำอธิบายที่เรามี เพื่อรับฟังบ้าง ฟังสิ่งที่โลกนี้และความรักำลังจะบอกเรา การบ่นต่อว่า การฟูมฟายเป็นกระบวนการเพื่อการหาสิ่งที่ดีกว่า มันไม่ใช่คำตอบ 'แต่เป็นคำพยากรณ์ถึงคำตอบที่กำลังจะมาถึง'
ถ้ารู้ตัวว่าต้องตายพรุ่งนี้ตอนห้าโมงเย็น จะไปทำอะไรกับชีวิต ... นั่นแหละคือสิ่งที่คุณต้องทำจริงๆ เด๋วนี้ ... จงใช้ชีวิตให้คุ้มซะก่อนที่จะไม่ได้ใช้ บางครั้งรักคนอื่นบ้างก็ได้ บ้างครั้งเรื่องอะไรให้อภัยได้ก็อย่าคิดมาก ... ดังนั้นจะเป็นจะตายอย่างไร ก็จงก้าวต่อไป ก้าวต่อไปให้ทันแสงของดวงตะวัน

คู่แท้แบบไม่ต้องลงทุนทำอะไร "ไม่มีในโลก" คนเราอยู่กันที่ปัจจุบัน ปู่ย่าตาทวดถูกคลุมถุงอยู่กันได้จนแก่จนเฒ่า แต่คนรุ่นใหม่ย้ายมาอยู่ก่อนแต่งยังเลิกกัน แท้จริงมันอยู่ที่วันนี้ของเราสองคน ว่า ยังคงศรัทธาในเจ้าหญิงให้สาวคนนั้นที่เราคบมาตั้งแต่หนุ่มๆ หรือไม่ หรือเรายังคงศรัทธาในเจ้าชายคนใน ในตัวชายคนนั้นที่เราคบมาตั้งแต่สาวๆ หรือไม่ ผมหวังว่าเราจะตอบว่าใช่ ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะซื่อสัตย์กับคนนี้เสมอไป แบบนี้เรียกว่าคู่แท้ได้

หลายครั้งที่การจะรักใครสักคนมันไม่ง่ายเลย เราพยายามที่จะให้อภัยแต่ก็พบกับความล้มเหลว เราบอกตัวเองให้อดทนทั้งๆ ที่รู้ว่าก็คงจะทนได้อีกไม่นาน จริงๆ แล้วบางครั้งเราก็ไม่ต้องทน จริงๆ แล้วบางเรื่องเราก็พูดได้ และการรับฟังก็เป๋นคุณลักษณ์ของความรักเช่นกัน มันหมายถึงหนทางของการปรับความเข้าใจ แทนที่การมานั่งทนอย่างโง่ๆ

เพราะเธอฉันจึงได้เห็นสิ่งที่ชีวิตนี้ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสได้เห็น ได้เป็นคนใหม่อย่างที่ไม่คิดว่าจะได้เป็น ได้ร้อง ได้เป็น ได้เต้น ได้ฟูมฟาย เพราะเธอ เพราะเธอ เธอเพราะ เพราะเธอ ... ทำให้ฉันรู้สึกราวกับว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน แท้จริงเราใช้ลมหายใจของกันและกันอยู่ ...

ที่ฉันร้องไห้ไม่ได้แปลว่าฉันอ่อนแอ เมื่อมีน้ำตาไม่ได้แสดงว่าหวั่นไหวเสมอไป ฉันอาจจะกลับมาเข้มแข็งกว่าที่เคยก็ได้ อย่าประมาทฉันก็แล้วกัน !!!

ตอนเด็ก : เราไปไหนมาไหนด้วยอาศัยขาของแม่ ตอนโต : เราไปไหนมาไหนเองด้วยขาของเรา ตอนแก่ : เราไปไหนมาไหนด้วยขาของลูก ... สักวันเราอาจจะต้องเดินไปในที่ที่เราไม่อยากไป ด้วยขาที่ไม่ใช่ขาของเรา เมื่อเรามีโอกาสพาเค้าไปก็พาท่านไปในที่ที่ท่านอยากไปบ้าง อย่าบ่นเลย

พ่อถามลูกชายว่า "โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร" ลูกชายตอบ "คาเมนไรเดอร์ครับ" พ่อยิ้มที่มุมปาก "มันเป็นไปไม่ได้หรอกลูก ในโลกแห่งความเป็นจริง" ลูกชายก้มหน้า "ผมช่วยคนแบบคาเมนไรเดอร์ไม่ได้เหรอครับ"

พระจันทร์กำลังจะลา พระอาทิตย ? จะโผล่ขึ้นมา ... โลกก็แบบนี้ หมุนเวียนเปลี่ยนเสมอ ... พรุ่งนี้ก็ซ้อมดนตรีอีก ... พอซ้อมเสร็จ ... ก็แสดง หลังแสดงก็ซ้อม ไปเรื่อย ...

ตกดึกทีไรเป็นต้อง "หิว" คนจะลดความอ้วน !!! มันก็ยังจะหิว

ถ้าของหายทำให้เราเข้าใจกับครอบครัว ก็ควรแล้วล่ะที่มีนจะหาย เพราะอย่างไรเราก็ย่อมอยากได้พวกท่านมากกว่าวันยังค่ำ กลับรู้สึกดีที่มันหายได้ด้วยซ้ำ ... จริงๆ เราได้รู้จักตัวตนของเรา ความเข้มแข็งและความอ่อนแอของเราเมื่อเราเสียของสำคัญ เมื่อเราถูกสั่นคลอน

ทำไมพระจันทร์คืนนี้เย็นชาจัง ... เธอไม่ยอมแม้จะหันอีกเสี้ยวมายังฉัน (คนจะเขียนกลอน มาตั้งวงเหล้าอะไรหน้าห้องฟร๊ะ)

บางทีก็อยากจะเป็นคนใจเย็น ใจดี รักคนอื่น แต่แน่ล่ะ ... มันไม่ง่ายเลย ไม่ง่ายอย่างที่คนที่ไม่อยากใจดี ใจเย็น ไม่มีวันเข้าใจ

แม้งานจะดูยาก แต่ยิ่งยากยิ่งรัก ยิ่งแน่นแฟ้น เพราะคำพูดของใครบางคนไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวฉันได้เลย มันไม่อาจทำให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ไม่อาจทำให้น้ำทะเลหวาน ไม่อาจทำให้โลกหยุดหมุน และแน่นอน มันไม่อาจทำให้ฉันย่อท้อ กลับกันมันจะเป็นแรงเป็นพลังให้ก้าวต่อจนกว่าสิ่งที่ได้เริ่มต้นไว้จะสำเร็จ

การให้คือการรับที่ยิ่งใหญ่ การให้สอนเราให้รู้ถึงความไว้วางใจ ถึงความเชื่อใจในกันและกัน สักวันโลกนี้จะเปลี่ยนไป แม้เราจะแตกต่างกัน ไม่เหมือนกันสักคน แต่สักวันโลกนี้จะสอนเราว่าแท้จริงเราสามารถไว้วางใจกันได้ เสมือนเรื่องของการขอบคุณเมื่อได้รับของจากผู้ใหญ่ มันเป็นเรื่องพื้นฐานของจิตใจ ทว่ากลับยิ่งใหญ่ท่วมท้น ถมทะเลให้เต็มได้ … มันก็สามารถเติมพลังเราได้ เติมเราให้เต็มความเป็นคนได้ โลกจะหมุนกลับ เราจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ลูกของเราจะเล่นกับลูกเพื่อนบ้าน เราจะร่วมร้องเพลงด้วยกันที่กลางเมือง น้ำใจจะไม่ถูกบดบังด้วยความเกรงใจ สักวันโลกนี้จะหมุนกลับ แสงสว่างจะส่องลงมาเป็นประกาย ไม่ใช่แค่ในห้องของฉัน แต่ส่องลงมาในใจของคนทั้งเมืองนี้

ไว้อาลัยการจากไปของเพื่อนของเพื่อน นพ พ่อ และพี่ชาย ... จริงสินะ ... วันนึงเราเองก็ต้องจากไปเหมือนกัน เราต้องจำไว้ให้ขึ้นใจ จะได้ทำแต่ความดีเพื่อทิ้งเอาไว้ข้างหลัง ...

เราวาดรูปเหมือน หรือเราวาดความรู้สึกตัวเอง ฉันวาดกลิ่นของดอกไม้หรือฉันวาดเพียงกลีบดอกไม้ สำหรับฉันแล้วสิ่งที่ฉันวาดคือวันและเวลา คือช่วงที่ดีที่สุด คือจังหวะหนึ่งของชีวิต ... แน่นอนที่ตอนนี้ฉันยังคงจับดินสอของฉันเอาไว้แน่น ... จะไม่ยอมปล่อยเด็ดขาด

พระอาทิตย์แย้มกลีบสีทองที่บานเกล็ด ปลุกคนขี้เซาให้ตื่นขึ้น ลืมตา เผชิญกับโลก โลกที่บางคนคิดว่ากลม บางคนคิดว่าแบน แต่บางคนคิดว่าบ้า ...
ในกรณีที่ฝนตกแล้วเรากลัวว่ากางเกงในจะเปียกต้องทำยังไง ...

1. ไม่ใส่ ถอดเก็บไว้บ้าน
2. เอาถุงพลาสติดมาเจาะขาแล้วเข้าไปด้วย
3. ช่างมัน
4. ถามเพื่อนว่าเค้าทำไงแล้วเอาด้วย

พระอาทิตย์ที่อุบนเป็นสีเทาตามสีของก้อนเมฆ ฝนระยับตกลงมา แทรกตัวลงกลางผืนแผ่นดิน ยังความเปียกเย็นต่อดอกไม้และพฤกษา ท้าทายความแห้งแล้งแห่งฤดู ท้ายทายความโดดเดี่ยวในใจ ... เย็นใจดีจัง

เลิกงานตอนนี้สองทุ่มกว่า ไม่ค่อยเหนื่อยนัก เจอหนังสือดีๆ หลายเล่มแต่ก็ไม่กล้าซื้อ รอกลับ กทม จะซื้อให้ได้ ใครที่เสียใจช่วงนี้เข้มแข็งเข้าไว้นะ อดทนและผ่านมันไปให้ได้ นี่แหละชีวิตที่เราเลือกเอง มีอะไร มาระบายให้กันฟังบ้างนะครับ

สิ่งที่ทำให้เราทำงานประสบความสำเร็จ บรรไดขั้นแรกคือ ท่าทีในใจ ต้องมีท่าที่แห่งความรัก และความห่วงใยต่อสังคมที่เราก่อน มิเช่นนั้นเราจะทำงานเพื่อตัวเราเอง ในที่สุดเราจะเฉยชา และกลายเป็นหุ่นยนต์

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กว่าจะมาเป็นหนังสือเล่มนี้

หนังสือเล่มนี้ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนๆ หลายคน พวกเราทำงานกันยันสว่างเกือบทุกคืน ทำงานกันอย่างซื่อสัตย์ ซื่อสัตย์กับความฝันของพวกเราทุกคน ...

เราคิดกันว่า ทุกวันนี้สังคมเราอาทรกันน้อยมาก ไม่ค่อยเกื้อกูรกันเหมือนแต่ก่อน ชอบนะ ที่เห็นว่าบ้านใครมีโอ่งใส่น้ำเอาไว้ให้คนที่ผ่านหน้าบ้านไปมากินได้ ตอนนี้เหลือแต่ 'อ่าง' อ่างล้างเท้าบ้าง เลี้ยงปลาบ้าง อ่างอบนวดบ้าง !?!

เพราะการซื้อขายรึเปล่าที่ทำให้เรากลายเป็นคนที่เลือกได้ เรามีเอกสิทธิ์ที่จะเป็นผู้เลือก เป็นผู้บงการตราบได้ก็ตามที่เรามีเงิน บางอย่างที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อและความยากลำบาก ก็ถูกยึดไปเป็นเจ้าของโดยคนมีเงิน 

เงินเป็นเครื่องมือหนึ่งในการซื้อขาย ตำราว่าไว้อย่างนั้น แต่เรากลับเจอเรื่องนอกตำราเต็มไปหมด เงินทำให้คนบางคนยิ่งใหญ่และมีคุณค่ามากกว่าคนบางคน เป็นผู้วิเศษวิโสมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าเบื่องบน ส่วนตัวแล้วพวกเรากลับไม่เชื่ออย่างนั้น แม้จะมีคนเชื่ออยู่เต็มไปหมด

บางทีพวกเราอาจบ้า ... อาจเสียสติ ... ก็ได้นะ

แต่คนบ้าคนเสียสติอย่างพวกเราอยากเห็นสังคมนี้อยู่บนพื้นฐานแห่งการให้และการแบ่งปัน คนบ้าอย่างพวกเรากลับคิดถึงป้าใจดีที่มีรอยยิ้มต้อนรับเราผู้เป็นคนแปลกหน้าด้วยวาจาแห่งความกรุณา แม้เราจะทำเพียงแค่ไปขอเข้าห้องน้ำก็ตาม เราคิดถึงสยามเมืองยิ้ม คิดถึงนาเขียวๆ ข้าวเหนียวในกระติ๊บ คิดถึงเมื่องที่ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว

คนบ้าอย่างพวกเราฝันเฟื่องนึกอยากเห็นสังคมนี้กอดกันเหมือนครั้งก่อน สมานฉันท์เหมือนโบราณ เราคิดถึงสิ่งเหล่านี้เหลือเกิน คิดถึงมันใจแทบขาด และหวังว่าจะมีคนคิดถึงสิ่งเหล่านี้ร่วมกันมากพอ 

เพียงพอที่จะเปลี่ยนสังคมนี้ของพวกเรา หวังอย่างยิ่งว่าจะมีคนบ้าอย่างเรามากพอ ...

เราจึงเริ่มต้นงานเขียนเล่มแรกด้วยการเป็นผู้ขอ ขอสิ่งเหลือใช้จากเพื่อนๆ ทุกคนที่เรารู้จัก คือ กระดาเอสี่ที่ใช้แล้วหนึ่งหน้า ซึ่งก็มีคนให้และบ้างก็ไม่มีจะให้ บางอ้างว่าเลิกเก็บขยะขายมานานแล้ว กระนั้นทุกคนก็ยังช่วยกันอย่างแข็งขันเต็มกำลังความเพียร

เราได้ฝึกที่จะอ่อนโยน ในการรู้จักให้ และฝึกในการขอบคุณ เราได้กลับสู้พื้นฐานแห่งรากเหง้าคำสอนที่เราเรียนมาจากผู้ใหญ่ใจดี จากคุณครูผู้อารีอันเป็นที่รัก

"เวลาผู้ใหญ่ให้ของ หนูต้องขอบคุณด้วยนะคะลูก"

ผมขอขอบคุณทุกท่านที่สนับสนุนหนังสือเล่มนี้ เราขายแบบไม่ได้ตั้งราคา พวกเราคิดก่อนออกจากบ้านมาแล้วว่า หากจะต้องทำฟรีก็ถือว่าปันกันอ่าน เรี่ยวแรงของเราก็ถือว่าเป็นการร่วมกันทำความดี เป็นเพื่อนกันมันต้องทำดีร่วมกันอยู่แล้ว ไม่งั้นเราก็คงไม่ใช่มิตรแท้แน่ๆ

สุดท้ายขอบคุณที่อ่านหนังสือเล่มนี้ เราจะตั้งใจทำต่อไป เพราะเราเป็นคนบ้า ... ที่คิดถึงแต่เรื่องไร่นาและป่าสีเขียว ... 


วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สารบัญไม่ได้บอกทุกอย่าง

เพราะชีวิตของเราไม่มีสารบัญ เราจึงไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขมันจะอยู่ตรงไหนของชีวิต เราเลย 'เลือกเปิดไม่ได้' ซึ่งมันดันคล้ายๆ กับ 'เลือกเกิดไม่ได้' แต่ก็น่าแปลกที่เราต่างก็พยายามที่จะควบคุมมันไปให้ได้ซะหมดทุกอย่าง ควบคุมราวกับว่าเราเลือกเปิดได้ ราวกับว่าชีวิตเรามีสารบัญ

หลายครั้งเราถามตัวเองว่าทำไมช่วงนี้เราไม่ค่อยมีความสุข ทานอะไรไม่ค่อยอร่อยอย่างที่เคย ผมร่วง ทะเลาะกับคนรอบข้าง ไม่มีใครสนใจ เพื่อนทิ้ง ฯลฯ อันที่จริงเราก็ไม่ได้ต้องการคำตอบเท่าไหร่ เหมือนเราอยากจะระบายอารมณ์มากกว่า

แต่ถ้าจะตอบก็คงเพราะเราพยายามเลือกเปิด แต่เสือกเปิดโดยไม่มีสารบัญ เราคาดหวังความสำเร็จในวิธีที่ผิด เอาใจไปใส่ให้คนที่เขาไม่รักเรา อยากมีความสุขในช่วงที่ต้องพักสงบ กลายเป็นคนดีที่ทำได้แค่ 'เฉียด' ไปมา กลายเป็นคนที่มาสาย เป็นคนที่ไม่ใช่ของใครบางคน ทั้งๆ ที่อีกนิดเดียวเท่านั้น

อยากเปลี่ยนมันมั้ย ... เบื่อมั้ย ความรู้สึกเหล่านี้ ??

งั้นก็หยุดเลือกเปิดสิ หยุดเลือกเปิดชีวิต แต่เปิดใจแทน เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่หัดที่จะยอมรับอะไรง่ายๆ บ้าง หัดที่จะไม่ต้องควบคุมอะไรให้มันมากนัก หัดที่จะประเมินตัวเอง ไม่แน่รอยยิ้มอาจจะกำลังหาทางออกมาจากน้ำตาก็ได้

อ้อมกอดไม่ได้มีไว้ซื้อขายกัน เราให้ฟรี แต่กลับเป็นสิ่งที่มีค่า สงวนไว้สำหรับคนที่เรารัก แต่แปลกที่เราไม่ค่อยรักใคร เราเลยไม่ได้กอดใครซะที ไม่ได้เอามันมาใช้เพื่อใครซะที

เรารอคอยคนนั้นที่ขี่ม้าขาวมา รอคอยคนที่สมบูรณ์แบบ รอคอยเจ้าชาย รอคอยคนในฝัน เรารอมานานแค่ไหนแล้ว ?? หากเราหัดยอมรับเราจะเห็นว่าใครคนนั้นบางทีอาจอยู่ใกล้ๆ เรานี่เอง เป็นคนที่เราสามารถมอบอ้อมกอดของเราให้เขาได้ แล้วใครคนนั้นก็จะกอดเราตอบอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วยเช่นกัน

ความรักเป็นเรื่องที่ยิ่งใช้ยิ่งมีมาก เราไม่สามารถขาดทุนได้ หากเรารักจริง

มีตัวอย่างให้ดูแล้ว พวกเขาคือพ่อแม่ผู้ปกครองของเรา หากถามว่าใครที่พยุงเด็กดื้อขี้โวยวายคนนั้นขึ้นมาบ่อยที่สุด เราคงจะนึกภาพตัวเองออก นึกภาพของพวกท่านออก

แล้วใครพยุงท่านบ้าง ... พยุงด้วยรอยยิ้มนะ

นานแค่ไหนแล้วที่เราสงวนอ้อมกอดของเราเอาไว้จากท่าน มัวแต่ไปรอเจ้าชาย พวกท่านคือแบบฝึกหัดอย่างดีสำหรับการหัดที่จะรักใครสักคน เพราะเราไม่ต้องกลัวว่าจะเจ็บ ...

ชีวิตของเรามันไม่ได้ควบคุมได้ไปซะหมดทุกอย่าง เราไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ควบคุม แต่เราเกิดมาเพื่อเรียน เรียนรู่อย่างเคารพในโลกใบนี้ เคารพในธรรมชาติ ในกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ เคารพในอาหารทุกจาน ไม่กินทิ้งขว้าง หรือดูถูกผู้มีพระคุณ รู้จักที่ต่ำที่สูง รู้ว่าใครเป็นใคร

เมื่อเราอยู่อย่างสอดคล้องกับระบบความรักของโลกเราก็จะเป็นผู้ที่มีความสุข โดยไม่ต้องพึ่งสารบัญ ไม่ต้องเลือกเปิดอีกต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คนที่เข้าข้างเราไม่ว่าอย่างไร

------- (หัวขโมย // ลูกอมสามถุง) -------

เพี๊ยะ --- !!

หน้าผมหันไปอีกด้านหนึ่งอย่างกระทันหัน ตัวผมโซซัดโซเซตามแรงตบของพ่อ ผมซบลงบนเก้าอี้ที่เบาะทำจากผ้า ซุกตหน้าลงไป หวังยืดเวลานี้ให้นานออกไปอีก ช่วงเวลาที่ผมจะไม่ต้องโดนลงโทษ ไม่ต้องเป็นผู้ต้องหา ไม่ต้องเป็นหัวขโมย ...

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเบาะนุ่มๆ นี้ จะเยื้อผมเอาไว้จากความเจ็บปวดได้ แต่แทนที่สิ่งนั้น มันกลับ "เปียก" เปียกไปหมดเพราะหยดน้ำตาของผม มันไหลอย่างกับน้ำท่วมในข่าว

"ไอ้สัด ไอ้ลูกเนรคุณ กูต้องลำบากเพราะมึงอีกเท่าไหร่แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ !?!" พูดไม่ทันขาดคำพ่อกระชากคอเสื้อของผม ดึงผมจากท่านั่งขึ้นมาในท่ายืน ท่านคว้าที่เขี่ยบุหรี่ที่ทำจะแก้วตัน

"ผมว่าค่อยๆ คุยกันก็ได้นะครับ" ตำรวจวัยกลางคนเข้ามาห้าม เค้าแยกผมกับพ่อออกจากัน เค้ามองหน้าที่บู้บี้ของผม คลำดูเบาๆ เพื่อดูว่าจะต้องพาผมไปโรงพยาบาลมั้ย

"เรื่องแค่เล็กน้อย อีกอย่างมันก็แค่ลูกอม ผมไม่เอาความอยู่แล้ว แค่อบรมสอนเค้าบ้างก็พอ" ผู้เสียหาย ร้านขายของชำพูดเสริม

พ่อของผมก้มหน้า เค้านั่งลงกับเก้าอี้ "พวกคุณออกไปกันได้แล้ว" ทุกคนทำหน้าสงสัยอะไรที่ดับความโกรธของพ่อลงได้ขนาดนั้น แต่ก็ออกไปอย่างฝ่ายคุมเชิง ค่อยๆ ถอยก้าวออกไปอย่างช้า ไม่อยากทำให้อารมณ์ที่เปราะบางของใครบางคนต้องแตกสลาย พวกเค้าคงไม่เข้าใจว่าเราสองพ่อลูกจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร

------- (ครอบครัว) -------

เสียงประตูปิดเป็นเสียงสุดท้ายที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ ความเงียบและความมืดอยู่รอบข้างผมกับพ่อ ไฟถูกปิดทุกดวง มีเพียงแสงอ่อนๆ ของพระอาทิตย์ที่ลอดสลัวเข้ามา เราแทบไม่ขยับตัว ราวกับว่าเรากำลังจะตาย ผมไม่กลัวความเจ็บปวดอีกต่อไป ไม่ว่าจะจากที่เขี่ยบุหรี่อันนั้น หรือกระสุนปืนจากความโกรธเคืองก็ตาม

ทำไมนะ ... ผมถึงทำอะไรโง่ๆ พรรณนั้นออกไป นึกแล้วมันก็งี่เง่าจริงๆ แค่อยากลองของ อยากเล่นเกม อยากคึกคะนอง อยากทำอะไรที่มันตื่นเต้น อะไรก็ตามที่ต้องวางเดิมพันสูงๆ

เด็กวัย  ๑๒ อย่างผมก็คงคิดได้เท่านี้ ผู้ชายที่วันๆ จมอยู่กับการล้มละลายจะมาเข้าใจได้ยังไง คนที่คิดแต่ว่าจะหมดกำลังใจ เอาแต่โทษชะตาจะมาเข้าใจผมได้ยังไง จะรู้ได้ยังไงว่าจริงๆ ผมต้องการอะไร

------- (กอด) -------

"เป็นยังไงบ้าง" พ่อพูดออกมา น้ำตายังไม่แห้งจากเบ้าตา นี่คงเป็นช่วงเวลาที่อ่อนแอของผู้ชายคนนั้น นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ฉันเห็นท่านร้องไห้

"ให้พ่อดูซิ เจ็บตรงไหนบ้าง" ท่านพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางเอามือมาจับที่ขอบตาปูดบวมของผม เพ่อเอาหน้ามาใกล้ๆ ดูมันอย่างพินิจ

"พ่อจะไม่ตีลูกอีกต่อไป..." พ่อพูดมันมาเบาๆ แต่พ่อกอดผมเอาไว้อย่างหนักแน่น !! พ่อ คนบ้าหุ้น คนขี้โมโห คนหยาบคาย แต่ยังไงคนนี้ก็ไม่เคยลืมว่าตัวเองเป็นใคร ใช่ ... เค้าคือพ่อของผม ไม่ใช่พ่อที่ผมยืมคนอื่นมา

------- (คนที่อยู่ข้างเดียวกับเรา // ไม่ว่าอย่างไร) -------

เราอาจจะผิดพราดได้ หรือเราอาจจะเก่งจนคิดว่าจไม่มีวันที่เราจะผิดพราด ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องการใครสักคนที่อยู่ข้างเดียวกับเรา คนที่จะยืนอยู่ฝั่งเรา เป็นเพื่อน เป็นพวกพ้อง เป็นครอบครัว

เราไม่อาจอยู่อย่างเดียวดาย ไม่ปรารถนาจะล๊อคตัวเองลำพัง เราซื้อมือถือเราต้องการมือถือหรือเราต้องการสายสัมพันธ์ ??

สำหรับผมชายคนนั้นจากผมไปนานพอควรแล้ว แต่ผมก็ละรึกถึงเค้าในฐานะคนที่จะอยู่ข้างเดียวกับผมไม่ว่าอย่างไร ทุกวันนี้คนเราเลิกร้างกันง่ายดาย เพราะเราเชื่อเรื่องสามี เรื่องภรรยา น้อยกว่าเชื่อเรื่องพ่อเรื่องแม่ เราเชื่อว่าพ่อเป็นพ่อลูกเป็นลูก เราไม่มีวันตัดกันได้ แต่เรื่องสามีภรรยาเรากลับเชื่อว่าเราตัดกันได้

ในที่สุดการตัดสินใจเลิกร้างกันก็ส่งผลกับเด็กคนหนึ่ง เด็กที่ภายหลังเราเรียกเค้าว่า 'ลูก' พ่อผมไม่เคยไม่เชื่อว่าผมเป็นลูก แม้เคยพูดตอนโมโหว่า 'ทางใครทางมัน' แต่ก็ลงเอยด้วยอ้อมกอดทุกครั้งไป

สำหรับผมแล้ว ผมเชื่อว่าภรรยาคือครอบครัวเดียวกันที่ตัดไม่ขาดไม่ว่าอย่างไร ไม่ว่าจะผิดพราดมากแค่ไหน ผมไม่ได้มองหาคนสมบูรณ์แบบ ผมเชื่อว่ามันถูกกำหนดมาแล้ว หน้าที่ของเราคือส่งต่อความไว้วางใจของพ่อแม่ที่มีต่อเราไม่สู่ลูกของเรา

"ปู่ของลูกเจ๋งมากรู้มั้ย"

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

ถ้าโลกนี้ไม่มี

------- (โลกอันแสนวิเศษ // อากาศของชีวิต) -------

'โลกนี้ไม่เคยสงวนสิ่งดีเอาไว้จากเราเลย'ฉันนึกขึ้นมาขณะมองท้องฟ้ายามเช้า แสงรำไรของพระอาทิตย์ซ่อนอยู่เบื้องหลังเมฆฝนสีเทา

ถ้าโลกนี้ไม่มีอากาศให้เราหายใจ --- !!

เราก็คงจะต้องตาย เราคงจะดิ้นทุรนทุรายอ้อนวอนขออะไรก็ตามที่เราศรัทธาว่า ขอให้เรามีอากาศเพื่อต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกหน่อย ฉันยังไม่ได้สั่งเสียใครเลย ยังไม่ได้บอกรักใครคนนั้น เค้ายังไม่รู้ซ้ำว่ามีฉันที่รักเค้ามาตลอดรออยู่ตรงนี้

ถ้าโลกนี้ไม่มีน้ำให้เราดื่ม --- !!

แม้แต่ฉี่ของตัวเองเราก็คงจะต้องดื่มมันเข้าไป และถ้าเรากินฉี่ของเราจนหมดแล้ว เราก็อาจจะฆ่าใครสักคนหนึ่งได้เพื่อแย่งฉี่ของเขามา เราอาจจะได้เห็นภาพของครอบครัวที่ดื่มฉี่จากถ้วยเดียวกัน และเสพวาระสุดท้ายของชีวิตไปด้วยกัน ตอนนั้นเองเราอาจจะได้รู้ว่า 'ใคร หรืออะไรกันแน่ ที่มีความสำคัญสำหรับเรา'

วินาทีสุดท้ายเป็นเพื่อนและเป็นศัตรูของเรา เพราะมันจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราทำมาตลอดชีวิตนั้นถูกต้องหรือไม่ ...

กระนั้นเราก็ยังคงใช้พลาสติก ยังมีส่วนร่วมในการปล่อยมลพิษ เราทำเหมือนว่าโลกนี้จะไม่เป็นอะไร ถ้าโลกนี้ไม่มีต้นไม้ หึ เราก็ยังตัดต้นไม้ ถ้าโลกนี้ไม่มีเพื่อนสักคน หึหึ ฉันอยู่ได้...

------- (ความยุติธรรมอันไกลโพ้น // คำถามในสายลม) -------

บางคนบอกต่อไปว่า 'โลกนี้ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย' ทำไมทั้งๆ เราทำเพื่อเค้าขนาดนั้นแล้วเรายังโดนทิ้ง ทำไมต้องมีคำว่าดีเกินไป แล้วเราเคยยุติธรรมกับโลกผู้แสนดีนี้บ้างหรือไม่ หรือว่าสำหรับเราแล้วโลกนี้ก็ดีเกินไปด้วยเช่นกัน

ใช่ ... เราเอาก็ขว้างคำว่า 'ดีเกินไป' ใส่โลกนี้เหมือนกัน

เพราะในขณะที่โลกนี้กำลังจะตาย เราก็เข้าสลิมอัพเซ็นเตอร์ ยังคงอยากผอมสวย ยังคงอยากมีความรัก อยากเป็นที่รักชองใครสักคน อยากถูกรัก อยากถูกครอบครอง โดยที่เราเองก็พราดรถไฟขบวนสุดท้ายตลอด พราดที่จะเป็นคนนั้นที่รักคนอื่นก่อน พราดที่จะเป็นผู้ให้ พราดที่จะคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง

ดีเกินไป อีกแล้วสินะ ...

------- (ชีวิตคู่ที่เหลือแต่คี่ (ขี้)) -------

เราอยากแต่งงานทั้งๆ ที่เราเอาก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าคนอย่างเราจะรักใครได้ บางทีเราอาจจะอยากแค่มีแฟนสวย หรือบางที่เราอาจจะอยากได้เพียงแค่ความมั่นของของชีวิต

เราอาจจะเก่งเรื่องการทำงาน แต่เรื่องความสัมพันธ์เรามันก็ 'ไอ้ห่วย' ดีๆ นี่เอง เรารักใครไม่เก่ง มีแต่เงินเต็มกระเป๋า หรือบางทีอาจจะไม่มีทั้งสองอย่าง

เพราะอะไรกัน --- ??

เพราะเราไม่เคยฝึกมัน ต้องยอมรักว่าเรื่องนี้ไม่มีในหลักสูตร แม้ว่ามันจะเป็นทักษะที่สำคัญอย่างหนึ่งของชีวิตก็ตาม ที่แย่กว่านั้นคือ เราวิ่งหนีมันทุกครั้งที่มีการสอบเพื่อวัดระดับการให้อภัยของเรา เราคุมโปงแล้วคิดไปว่าเราผ่านทั้งๆ ที่เรานั้นซ้ำชั้น

การมีสินเชื่อเพื่อการแต่งงานไม่ได้เป็นหลักประกันชีวิตคู่ มันไม่เคยเป็นมานานแล้วด้วยซ้ำ เราประกอบอาชีพเพื่อความอยู่รอดทั้งๆ ที่ความอยู่รอดมีอยู่แล้วในผืนดิน ให้เราอย่างเปล่าๆ ไม่มีการซื้อขาย เราเพียงหว่านแล้วก็ใช้ชีวิต เรามีเวลาเลี้ยงลูกเราอย่างที่ไม่ต้องพึ่งพาโรงเรียน ใครกันที่สาปให้เราเชื่อว่าเราต้องรวยและมีของเล่นเยอะๆ ใครสาปให้มนุษย์ผู้อารีกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ทำทุกอย่างเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง

ใครกันนะ ... อ๋อ ... ตัวเรานี่เอง

------- (หนึ่งในนั้นฉันเอง) -----

'ฉันเองคือคนนั้น คนทีีไม่ดีพร้อม แย่ และไม่เอาไหน เป็นคนที่พราดในทุกเรื่องและซ้ำชั้น' แต่ฉันอยากเปลี่ยน มองฟ้าวันนี้เกินความเข้าใจที่ทั้งชีวิตไปเคยคิดว่าจะได้เข้าใจ ดังนั้นฉันจะไม่ยอมที่จะเป็นอย่างนั้นอีก

ไม่อีกต่อไป --- !!

"บางที่เราอาจให้โดยปราศจากความรักได้ แต่เราไม่สามารถรักโดยปราศจากการให้ได้" ฉันยิ้มพลางปิดหน้าต่าง

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

น้ำตาหน้าจอ // ดวงดาวหรือเม็ดทราย

------- (๑) -------

จะฟูมฟายเป็นวรรคเป็นเวรให้ได้อะไรขึ้นมา
จะเสียน้ำตาเพื่ออะไร 

จะแคร์อะไรกับผู้ชายควายๆ พรรณนั้น
คนที่แยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าอะไรถูกหรือผิด

------- (๒) -------

จะอย่างไรเขาคงไม่กลับมา ใช่สินะ ก็เรามาทีหลังหนิ
มันไม่ใช่การต่อสู้ มันคือความรัก ฉันบอกตัวเอง ...

ในขณะที่ฉันไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว รักมันคืออะไร
แบบไหนกันนะ ที่เรียกว่ารัก ในเมื่อผลของการเชื่อใจคือการถูกหักหลัง

------- (ราตรีนับหมื่นพัน // ฉันกับเธอ) -------

ท้องฟ้าคืนนี้สวยจัง ดวงดาวเหล่านั้นช่างแสนหวาน ในวันที่ฟ้าเปิดอย่างนี้ ฉันอดนึกไม่ได้ว่ากลุ่มดาวมากมายเหนือคณานับเหล่านั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ต่างอะไรไปจากเม็ดทรายผู้แสนอ่อนโยนที่ริมฝังทะเล 

มันก็เป็นแค่ก้อนดิน ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ สูงหรือต่ำ จะในน้ำหรือบนฟ้าก็คงไม่ต่างกัน ฉันคิดเสมอว่าเธอคงเป็นดินก้อนใหญ่ที่ลอยอยู่บนฟ้า ส่วนฉันก็เป็นดินก้อนเล็กที่อยู่ในน้ำบ้างบางครั้งตามจังหวะคลื่น

เราต่างกันเพราะฉันส่องแสงไม่ได้ ส่วนเธอทอประกายระยับทุกค่ำคืน ดังนั้นฉันจึงพยายามที่จะเร่งดวงตะวันเฒ่าให้เข้านอนเร็วๆ เพียงเพราะอยากให้ยามราตรีนั้นมาถึงไวๆ พยามยามเหลือเกินแม้จะรู้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้

บางทีนี่อาจจะเป็นระยะห่างที่ใกล้ที่สุดสำหรับเราแล้วก็ได้ อยากกอดเธอนะ แต่แขนของฉันคงไม่ยาวพอ

------- (รอยเท้าของเธอ // ใจของฉันที่แปรปรวน) -------

ที่นี่ร้านเช่าหนังสือ ฉันมองเธอจากตรงนี้ ทุกวันเธอจะเดินตรงมาจากฝั่งตรงข้ามของถนน เธอถามฉันถึงเรื่องเดิมๆ 'ไม่ทราบว่านิยายเรื่องเจอกันที่ดวงตะวันเล่มใหม่ออกรึยังครับ' 

ฉันก็ได้แต่ส่ายหน้า ถ้าอะไรที่ฉันทำไปแล้วคนเขียนจะออกนิยายเล่มใหม่มาให้เธอ ฉันสาบานว่าทำแน่ ! แต่มันก็คงทำไม่ได้อยู่ดี อันที่จริงฉันหมายถึง 'ฉันไม่อยากเห็นเธอเสียใจน่ะ' เราคุยกันด้วยประโยคสนทนาอันแสนจำเจ 


จนวันหนึ่ง ...

'นี่นิยายของเธอ ฉันเก็บเอาไว้ให้ เพิ่งออกสดๆ ร้อนๆ เลยนะ' เขาตื่นเต้นราวกับว่าฉันเพิ่งจะรับรักเขาแน่ะ (ความจริงฉันนี่เข้าข้างตัวเองเนอะ) หลังจากนั้นเราก็คุยกันทุกวัน โทรคุยกันตลอด เฟซบุ๊คหากัน ... ทานข้าวกัน และในที่สุดเธอก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นคนพิเศษด้วยการขอฉันเป็นแฟน วินาทีนั้นเองที่เม็ดทรายกับดวงดาวได้อยู่ด้วยกันเป็นครั้งแรกของจักรวาล ฉันกับเธอระยะห่างไม่สำคัญอีกต่อไป

ตอนนี้เธอนอนข้างๆ ฉัน บนหาดทราย ท้องฟ้าที่ถูกประดับไปด้วยแสงของดวงดาวโอบล้อมเราทั้งคู่เอาไว้ คล้ายช่วงเวลานี้โดนร่ายมนต์ มันสุดแสนจะตราตรึงเกินสรรหาถ้อยคำใดมาบรรยาย

"ฉันรักเธอนะ" ฉันพูดมันออกไปดั่งโดนสะกด เขาหันมามองหน้าฉันพลางส่งยิ้มน้อยๆ ไม่ทันใดก็รั้งฉันเอาไว้ด้วยอ้อมกอดของเขา น่าแปลก เขาแทบไม่ต้องออกแรงเลยด้วยซ้ำ ตรงนี้แม้แต่เสียงหัวใจเต้นก็ยังดังสนั่น
"ผมก็รักคุณ รักมาตั้งแต่คิดว่าจะพูดอะไรกับคุณดี อ๋อ ช่าย ผมไม่ได้อยากได้นิยายเล่มนั้นเลย" เขาพูดออกมาอย่างเขินๆ ฉันหน้าแดงไปหมดแล้ว 

- (สิ่งที่แยกเราออกจากกัน // หยดน้ำตาไม่อาจรั้งใครสักคนเอาไว้) -

เขาอยู่ตรงหน้าในจอสี่เหลี่ยม ขณะเราคุยกับผ่านวิดีโอคอลล์ ฉันเฝ้ารอคำตอบจากเขา จากคำถามง่ายๆ 'เธอหลอกฉันทำไม' เวลาผ่านไปยาวนานดุจเป็นปี 'ฉันผิดตรงไหน' เธอ ... คนที่ฉันรู้จักเขาเป็นใครกันแน่ น้ำตาของฉันไหลออกมา มันเหมือนกับกำลังจะฆ่าฉัน ทั้งทรมานเหน็บหนาว และอึดอัด 

ฉันจะทนมันได้อย่างไร ในเมื่อคนที่คิดว่าจะช่วยฉันแบกรับมันเอาไว้ กลับเป็นคนที่โยนมันลงบนบ่าของฉัน เมื่อคนที่คิดว่าเขาคือความหวัง ทำให้ฉันฉันรู้สึกว่า ฉันเป็นคนที่น่าสมเพชขนาดไหน 'เธอมีใครคนนั้นมานานแค่ไหนแล้ว' 

"คือ ฉันขอโทษ ฉันคิดว่าเรา เออ แค่คบๆ กัน" เธอตอบมันออกมาจนได้สินะ 

ฉันยิ้มทั้งน้ำตา น้ำตาสีแดงที่ไหลออกมาจากเบ้าตา ไม่รู้จะหัวเราะหรือจะร้องไห้ดี ฉันหยิบเข็มขัดที่เขาซื้อให้ฉันเป็นของขวัญวันเกิดขึ้นมา พลางส่งยิ้มให้กับเขาเป็นครั้งสุดท้าย ฉันคงเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการ 'ครั้งนี้ก็คงจะเล่นๆ อีกตามเคย' 

ฉันผูกเข็มขัดเข้ากับลูกบิดของบานประตู และนั่งลงในท่าคุกเข่า เขาร้องออกมาดังสุดเสียงวอลลุ่ม ลำโพงของฉันแทบจะแตก น้ำตาของเขาเริ่มไหลออกมาบ้าง แต่มันช้าไป ฉันปล่อยรอยยิ้มสุดท้ายสลายไปกับลมหายใจจางๆ 'ลาก่อนดวงดาว คงได้เวลาที่ฉันต้องกลับทะเลแล้วล่ะ ฉันเหนื่อยเหลือเกิน'

ฉันยังไม่ไปไหน ยืนดูร่างของตัวเองที่ค้างเต่ออยู่ที่บานประตู ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็พังประตูห้องของฉันเข้ามา 'ผมขอโทษ' เขาลากเสียงยาว รั้งร่างอุ่นของฉันเข้าในอ้อมกอดเหมือนอย่างเคย แต่ครั้งนี้มันต่างไปจากทุกทีตรงที่คั้งนี้ฉันคงไม่ได้ตื่นขึ้นมายิ้มให้เขาแล้ว ใช่ต่อแต่นี้เขาคงจะรู้ว่าเรื่องความซื่อสัตย์สำคัญสำหรับเรา 'ผู้หญิง' ขนาดไหน 

บทเรียนสำคัญที่แลกมาด้วยชีวิต ...