วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ทรงฟัง ...

-------- (๑) -------

พระเจ้าทรงฟัง คำอ้อนวอน แม้เม็ดทรายริมฝั่งทะเล

ทรงทอดพระเนตร ใส่ใจ แม้คนต้อยต่ำ ขัดสน

------- (๒) -------

"เราลงมาเพื่อปลอดปล่อยเจ้า จากการทำงานหนัก"

"เราได้ยินเสียงแห่งความทุกข์ยากของเจ้า"

"เราจะพาเจ้าไปสู่แผ่นดินที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้งบริบูรณ์"

เสียงพระเจ้าตรัส เร่งกำลังความหวังลุกโชน ... เต็มกำลัง

ฉันเดินไปข้างหน้าเต็มฝ่าเท้า ...

-------- (๓) --------

เม็ดทรายร้องอีกครั้ง ... ขอบพระทัย

พระเจ้าผู้ทรงขึงท้องฟ้า

ผู้ทรงวาดรูปร่างให้กับก้อนเมฆ

ผู้ทรงใส่จิตวิญญาณให้ข้าพระองค์ ...

พระผู้ไถ่ พระผู้ช่วยให้รอดของข้าพระองค์

เรียน รู้ เข้าใจ ตอนที่ ๑

------- (คำถามจากนักเรียนเพศหญิงคนหนึ่ง) -------

"พี่นิวคะ ... คือว่าปัจจุบันน้องเรียนอยู่ชั้น ม.2 ตอนที่เรียน ม.1 ในปีที่ผ่านมามันง่ายมากค่ะ แต่พอขึ้นชั้นมา น้องปรับตัวไม่ทัน เพราะรู้สึกว่าเนื้อหามันไปเร็วมาก จะทำยังไงดีคะ"

-------- (คำตอบจากนักเขียนเพศชาย) -------

เรียนคุณน้องที่รัก ... สมัยพี่เรียน ก็เคยเจอปัญหาแบบนี้มาบ้าง เพราะพี่เองก็ไม่ใช่คนเรียนเก่งประดับเทพของห้องแต่อย่างใด เอาจริงๆ คือเป็นคนเรียนปานกลาง บางครั้งติดแย่ด้วยซ้ำ ... แหะแหะ

แต่พี่ก็มีวิธีคิดที่พอจะใช้ได้ผลกับพี่และเพื่อนๆ ร่วมกลุ่มสมัยเรียนมาฝาก

ข้อแรก --- !! ระลึกเสมอว่าต่อแต่นี้จะมีแต่ยากขึ้นทางเดียว --- !!
                     (ถ้ามันง่ายบ้างก็ถือซะว่าโบนัส)

จากที่พี่เรียนจนจบปริญญามา "ไม่การขึ้นชั้นครั้งไหนที่เรียนง่ายขึ้นเลย" โดยหลักการแล้วเราเรียนเพื่อพัฒนาไปข้างหน้า ... ว่ามั้ย แต่มันมักจะยากขึ้นแบบ "ก้าวเหาะ" (คือ ก้าวกระโดดยังน้อยไป) เหมือนว่าวันนี้เราเพิ่งเริ่มอ่านออกเสียงได้ พรุ่งนี้ต้องเขียนนวนิยายส่งอย่างนั้นแหละ (ใครจะไปทำได้ฟระ)

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ... จงเข้มแข็งเอาไว้ ... อย่าหวั่นไหว เพราะมันคือเรื่องธรรมดาของการเรียน หากเราสามารถคิดแบบนี้ได้ มันก็จะเป็นคุณสมบัติที่ดี ติดตัวเราไปจนโตเลยนะ "คุ้มมาก" พี่นิวเริ่มจากความคิดก่อนเลย ยิ่งเราคิดดีนอกจากเรียนเก่งแล้วพ่อแม่จะพลอยชื่นใจไปด้วย ...

ข้อสอง --- !! เราทำทุกเรื่องพร้อมกันในเวลาเดียวกันไม่ได้ "จงเรียงลำดับ --- !!"

สมัยเรียน พี่สอบตกเรื่องนี้เป็นประจำ โตมาก็มาคิดย้อนหลังดู รู้ว่ามันมีประโยชน์มาก ถ้าเราผ่านมันไปได้ การจัดลำดับ คือ การตระหนักรู้ว่าทุกอย่างไม่ได้สำคัญเท่าๆ กันในเวลาเดียวกันเสมอไป คือ บางสิ่งบางอย่างสำคัญเฉพาะตอนนี้ ให้ขณะที่บางสิ่งในตอนนี้นั้นไม่สำคัญ คิดดูดีๆ

ยกตัวอย่างเช่น การเรียนวิชาภาษาไทยดี แต่ถ้าพรุ่งนี้จะสอบเลข จะมัวมาอ่านวิชาภาษาไทยซะงั้น มันก็ไม่ได้ ... เราต้องเลือกทำ เพราะเวลาจำกัด ดังนั้นต้องอ่านเลขไปก่อน อันนี้ยังดีนะ เพราะบางคนอย่าว่าแต่อ่านภาษาไทยเลย สอบอยู่พรุ่งมันยังไม่รู้ว่ามีด้วยซ้ำ ... โถ !! ...

มีสมุดเล่มนึงจดว่า เราต้องทำอะไรบ้าง เพราะบางครั้งเราก็จำไม่ได้ทั้งหมด พึงระลึกว่าเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้จะฝึกให้เราเป็นคนมีระเบียบวินัยนะ ว่ากันว่าคนที่มีระเบียบวินัยแม้เรียนไม่เก่ง แต่ด้วยความขยัน เราจะไม่มีโอกาสเห็นเขาสอบตก มันสอนอะไรเราล่ะ ... สอนว่าคนขยันมากได้มาก คนขยันตฃน้อยได้น้อย คนไม่ขยันโดนตี ... ดังนั้น ชอบไม่ชอบก็ตาม เข้มแข็งเอาไว้

เน้นย้ำว่าเรื่องด่วนที่สำคัญต้องรีบทำให้เสร็จ จดบันทึกให้ดี เสร็จแล้ววงไว้เลย จะให้สีพิเศษเขียนหรืออะไรก็ได้ตามแต่ใจชอบ แต่ต้องทำให้รู้ว่ามันสำคัญมากๆ รู้มั้ย ... ช่วงที่พี่เรียนดีที่สุดนั้นคือช่วงที่พี่จดการบ้านทุกวันล่ะขอบอก

------- (จบตอน) -------

จดหมายถึง “คุณ” โดย “สุนทรียกาญจน์”

------- (๑) -------
บางสิ่งรวดเร็วดังสายฟ้า --- !!
บางสิ่งก็เชื่องช้าดังสายลมเอื่อยเชื่อย -- !!
บางสิ่งแปรผัน
หลับ หยุดนิ่ง ไม่ไหวติงอยู่กับที่ ...


------- (๒) -------


๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ --- ฤดูอะไรก็ไม่รู้ ---


ผมนั่งอยู่บนรถไฟฟ้าใต้เดิน แม้ความรู้สึกมันจะเหมื่อนว่าสถานที่สี่เหลี่ยมนี้หยุดอยู่กับที่ก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันกำลัง “เคลื่อนไหว” ผู้คนต่างหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ... พวกเขาเล่นบทบาทชีวิตของตนเองไปตาม “เข็มของนาฬิกา”


“ชีวิตเคลื่อนไหวไปเป็นวงกลม” มันหมุนไปแล้วก็หมุนกับมาที่เดิม เพื่อมุ่งสู่รอบต่อไป “แท้จริงมันเคลื่อนไหวหรือหยุดอยู่กับที่กันนะ ----- ???”
                
มีคนบอกผมว่า “พรสวรรค์ของฉันหาใช่ความความสามารถที่มีมากเหนือ ... เหลือล้นกว่าคนอื่น แต่มันคือความพยายาม” หลายๆ ครั้งชีวิตของเราล้มลงตกอยู่ในที่นั่งของความล้มเหลวครั้งใหญ่ เราได้แต่ทอดถอนหายใจพลางมองไปที่ผู้คนรอบกายแล้วคิดว่า “ทำไมนะ ... คนนั้นถึงประสบความสำเร็จ ... เขาพยายามน้อยกว่าเราเป็นไหนๆ นี่นา”
                
ผมกลับคิดต่างออกไป --- เราต้องตั้งคำถามแบบนี้ด้วยหรือ --- ?? ความพยายามของเรามันเทียบเปรียบชั่งกับความพยายามของคนอื่นได้ด้วยหรือ ความฝันของเรากับเขาสามารถเอามาชั่งตวงวัดเพื่อเทียบเคียงกันได้ด้วยหรือ --- ?? แค่ในแต่ละชั่วในลมหายใจของเรานั้น เราสามารถตอบกับตัวเองว่าเรากำลังทุ่มเทพลังเพื่อทำบางสิ่งบางอย่างอยู่ มันก็ดีเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ --- ??
             
เพียงพอที่เราจะจดจำว่าในช่วงชีวิตสั้นๆ ของเราได้เคยพยายามอย่างสุดความสามารถกับ ”เรื่องนี้เรื่องนั้น” ซึ่งไม่จำเป็นว่ามันต้องเป็นเรื่องเดียวกันกับคนอื่น “ความพยายามก็ยังทรงคุณค่าอยู่ในตัวเองมิใช่หรือ --- ?
                
"เรื่องนี้ของผม คือ การเป็น "นักอยากเขียน" และ ผมจะพยายามต่อไป ... ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่"            

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความแปรปรวนของ "อากาศ" ตอนที่ ๓

------- (การเดินทาง // ชีวิต // ของขวัญ) -------

"วันนี้ผมไม่ได้ไปทำงาน ... ไม่ได้โทรไปลา ... ไม่คิดแม้จะติดต่อใครทั้งนั้น"

ที่ที่ผมกำลังยืนอยู่ มันเป็นที่ที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้มายืน ไม่ว่าจะในโอกาสไหนๆ ก็ตาม ห้องสี่เหลี่ยมที่รกรุงรังไปหมด "แทบจะไม่เหลือที่ให้เดินอยู่แล้ว"

"สวัสดีค่าา สวัสดีค่าา" ถูกพูดอยู่เรื่อยๆ ที่เค้าน์เตอร์แคชเชียร์น่า "รำคาญเสียจริง" ผมคิดพลางเอามือหนึ่งแคะหู เอียงคอประชดเล็กน้อยเผื่อว่าจะได้มีคนรู้ตัว นี่ผมกลายเป็นพวกมีปัญหากับสังคมไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

ผมมาที่นี่เพื่อหาโหลพลาสติกใส ที่จะบาดมือใครไม่ได้ หาขนาดใหญ่สูงเท่ากับหน้าอก ผมรู้ว่าทั่วทั้งเมืองสามารถหาซื้อได้จากร้านรกๆ แห่งนี้เพียงที่เดียวเท่านั้น คราวที่แล้วยัยนั่นคงจะซื้อแบบที่เป็นกระจกไป ... หึ !! สมน้ำหน้า ... "พวกคนแพ้ความใสแจ๋ว"

"ผมเอาใบนี้ครับ" ผมพูดพลางชี้นิ้วด้วยท่าทางเกียจคร้าน

"ค่าาา ... เดี๋ยวหยิบให้นะคะ" ให้ตายสิ ... ทำหน้าร่าเริงอยู่ได้ ... ชิ !! มีความสุขนักหรือไง ...

สองมือของผมล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ตังน่ะเตรียมเอาไว้แล้ว ... พร้อมจ่ายทุกเมื่อ ขณะเดียวกันอีกใจหนึ่งก็คิด ... ไม่รู้จะติดต่อยัยนั่นได้ยังไง คราวที่แล้วเราก็ไม่ได้แลกเบอร์กันซะด้วย --- จะใช้มือถือก่ะเขาหรือเปล่านะ

ท่าทางเฉิ่มๆ แบบนั้น ----- !!

"ได้แล้วค่า ... แปดร้อยห้าสิบบาทค่ะ" ยัยตัวร่าเริงคิดค่าเสียหาย

ผมเอาเงินในมือให้เธอไป พลางสังเกตที่ใบหน้าของเธอ ขอบตาของเธอเขียวช้ำ แต่ก็ยังพยายามลงรองพื้นเพื่อปิดเอาไว้ แก้มของเธอก็ด้วย ... ผมรับตังค์ทอน หันหลังกลับออกมา สาวเท้าอย่างรีบเร่ง สองมือของผมล้วงกระเป๋ากางเกง ...

เดินๆ เดินๆ เดิน และเดิน ...

"ตายลาหว่า ... คิดอะไรก็ไม่รู้ ... คิดอยู่ได้ !!! ลืมของเฉยเลย..."

ผมเอามืออกมาจากกระเป๋ากางเกง สะบัดหน้า เดินกลับไปที่ร้านเพื่อหยิบโหลพลาสติก "ขาจากมา ดันรีบเดินซะด้วย ---ไกลเลยทีนี้"

"สวัสดีค่าาา" ยัยร่าเริงคนเดิมทัก ผมกรอกตา ... เฮ้อ ...

เธอเดินเข้าไปหลังร้าน ความสามารถประการหนึ่งของเธอ คือ สามารถเดินอย่างลวกๆ ในร้านรกแห่งนี้โดยที่ไม่สะดุดกับอะไรทั้งสิ้น เรียกได้ว่าเข้าขั้นประหลาดเลยที่เดียว

ถ้าเป็นผมเดินลวกๆ อย่างนั้น คงหัวทิ่มไปแล้ว --- ให้ตายสิ ... เห็นสภาพร้านนี้กี่ที ก็มีแต่คำถามเดิมๆ ... พวกเขามัวเอาเวลาไปช่วยพ่อหาเสียงกันหมดหรือไง ถึงได้ไม่มีเวลาจัดร้านอย่างนี้

"ได้แล้วค่าาา ของที่ลืมไว้" เธอพูดตอกย้ำความผิดพราดของผมด้วยท่าทางยิ้มแย้ม --- เธอคงไม่คิดอะไรหรอก ผมรีบตัดวาจาในใจ ...

"ขอบคุณคร๊าบบบ ..." ผมยิ้มสุดกำลังฟัน ล้อเลียนซะเลย นี่แน่ะ ... สองมือก็ถือโหลยักษ์ พลางก้าวเท้าเดินไปทางที่เพิ่งจะเดินกลับมา "ใครกันนะที่ทำร้ายร่างกายคนร่าเริงอย่างนั้นได้ลงคอ" ผมคิดจนได้

------- (ตามหา // รอคอย) -------

เมื่อวานเราเดินชนกันตรงนี้ ผมชี้มือไปในมวลอากาศ ส่วนตรงนี้เธอโดนกระจกบาด ดูสิ รอยหยดเลือดยังอยู่เลย ... ดูเผินๆ เหมือนจะมีคนโดนยิง

โหลใสถูกวางเอาไว้ริมทางเท้า ตอนนี้มันมีนกกระดาษหลากสีอยู่เกือบเต็ม น้อยกว่าเมื่อวานเพียงนิดเดียวเท่านั้น ผมวางมันหลบมุมนิดหน่อยเดี๋ยวจะล้มเอา สายตาของผมมองไปรอบๆ รอยัยเฉิ่มคนหนึ่งอยู่ หญิงที่ใส่กระโปรงยาว กับเสื้อลายลูกไม้เมื่อวาน --- "คนที่อธิษฐานกับดาวศุกร์"

ดูนาฬิกา บ่ายสามโมง หรือเธอจะไม่มานะวันนี้ แต่มันก็เพิ่งจะบ่ายสามเอง ... รออีกหน่อยนึง เมื่อวานเราเดินชนกันราวๆ ห้าโมงครึ่งนี่นา --- ผมในเสื้อยืดกางเกงยีนส์ขาเดฟ กับร่างที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ภาวนาขอให้เธอรีบมา "เร็วๆ เข้าเซ่ ... "

------- (เสียงนาฬากา // สั่นเครื่อ //ในลมหายใจบุรุษ) -------

หกโมงเย็น บางทีเธออาจเป็นอีกคนที่ไปช่วยพ่อหาเสียง เพราะแม่นอนโรงพยาบาลเลยไม่สะดวกไปกระมัง ... กลับดีกว่า --- ชะเง้อจนจะเป็นกระเหรี่ยงอยู่แล้ว ที่ขาดอยู่ก็คงจะมีแต่ "ห่วงทอง" เท่านั้น ลากโถมากอดด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะสาวเท้ากลับบ้าน "ผมไม่เจอเธอ"

------- (ห้องสี่เหลี่ยม // ตึกสูง // ประหลาดใจ) -------

นั่นไง !! โหลของเธอมันอยู่ตรงมุมสุดของห้องผม แท๊กซี่อีกตามเคย ... ผมอยู่ในความเงียบ ปิดทุกเสียง ทุกสิ่ง ของทุกอย่างที่รบกวนผมได้ เพื่อใคร่ครวญ คิดในหัวว่าจะเอาโหลนี้ไปคืนเธอได้อย่างไร จะหาเธอได้จากที่ไหน เธอคงนั่งเครื่องย้อนเวลามาจากอีกโลกแน่นอน ... แต่บางทีผมก็คิดนะว่าเธออาจจะมาจากต่างดาว

"ดาวเฉิ่มยังไงล่ะ" คิดไปพลางหัวรอคนเดียวเหมือนคนบ้า

------- (((ติ๊ ตี ตี่ ตี // ติ๊ ตี ตี่ ตี // ติ๊ ตี ตี่ ตี ... ติ๊))) -------

โทรศัพท์ของผมดัง สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ดันลืมปิดเสียงทั้งๆ ที่คิดว่าปิดหมดแล้ว ... ไม่ต้องบอกคงพอรู้ว่าผมใช้โทรศัพท์ยี่ห้ออะไร สังเกตจากริงโทนเอาแล้วกัน (.. )"

"สวัสดีครับ" ผมพูดไป

"นายคนที่เดินชนฉันรึเปล่า" เธอ ... คนนั้น ... มาได้ไงเนี่ย !!

------- (จบตอน) -------

ความแปรปรวนของ "อากาศ" ตอนที่ ๒

ชีวิตที่ต้อง "ซูม" ... สายตาที่ต้องปรับระยะชัด

อยากจะเห็นอะไร "ขอโทษครับ ช่วยชัดอีกหน่อยได้ไหม"

คนสายตาสั้น ... คนมืดบอด ... คนเหงา ... "ผม"

------- (ค่ำคืน // ลำพัง // กลางถนน) -------

หลังจากยัยเจ๊โหดกลับบ้านไปแล้ว ผมที่แกล้งทำทีว่าเดินกลับบ้าน ก็เดินกลับมา "ที่นี่" ที่ที่เราพบกันครั้งแรก อุบัติเหตุท่ามกลางความสับสนของผม ...

นกกระดาษกลาดเกลื่อนอยู่เบื้องหน้า มันชัดดี แต่มันคงจะชัดแบบนี้เฉพาะตอนที่ผมใส่แว่นเท่านั้น เพราะหากผมถอดแว่นออกเมื่อไหร่แล้วล่ะก็ ภาพตรงหน้าก็จะพร่ามัวไป ซึ่งบางครั้งมันก็ชวนให้ใช้จินตนาการทีเดียว

เก้าร้อย !! --- ระยะชัดที่ห่างจากคนปกติของผม มันสั้นที่สายตาทั้งคู่ ...

น้ำดำแฉะซึมเข้าไปในตัวนกส่วนหนึ่ง อีกส่วนที่อยู่ด้านบนยังแห้งสนิท ผมค่อยๆ เก็บพวกมันใส่ถุงที่ผมอุตส่าห์ขอมาจากคลีนิค พลางหวาดอยู่ในใจ กลัวเหลือเกินว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นซ้ำสอง กับนิ้วของผม เพราะซากโหลกระจกนั้นยังคงกระจัดกระจายอยู่ที่พื้น

คนผ่านไปมาอดเหลียวมองผมไม่ได้ -- ภาพของชายคนหนึ่งท่าทาง "เก้ๆ กังๆ" คงจะลอยเด่นอยู่ในแววตาของพวกเขากระมัง "ไม่สนใจๆ ... เก็บต่อไปดีกว่า ..."

๑๕ ถุง ผมเก็บจนหมดสิ้น แถมแยกพวกที่เปียกออกจากพวกที่แห้งให้ด้วย

เหงื่อใสไหล ซึมเปียกเสื้อ ปะปนกันกันกับเลือดแดงของเธอ --- ชักสยอง แฮะ !! --- แต่ยังไงซะก็เก็บเสร็จแล้ว พรุ่งนี้หลังเลิกงานจะไปซื้อโหลเอาไปคืนเธอ "เราไม่ต้องติดค้างกัน"

------- (ตึกสูง // ห้องเหลี่ยม // ความจำเจ) -------

กลับมาถึงห้องราวเที่ยงคืน เอาถุง ๑๕ ถุงขึ้นแท๊กซี่มาด้วย สรุปว่าเหนื่อยจนเดินกลับไม่ไหว จะพับอะไรนักหนา เอาไปให้คนรักหรือไง ... โถ่เอ๊ย !! ไอ้พวกมีคนรัก

น้ำจากฝักบัวไหลกระแทกความเหนื่อยล้าในร่าง ความสดชื่นเริ่มกลับมาแล้ว พวกมันคงไหลไปกองรวมกันในที่ในท่อมั้ง ... อย่างงั้น .... ในท่อก็คงจะมีแต่ความทุกข์สินะ ... ผมเวิ่นเว้อ

เมื่อกี๊มันมีซากนกกระดาษอยู่แผ่นหนึ่ง เขียนข้อความเอาไว้ด้วย แต่น้ำกัดจนหมึกละลายไปหมดแล้ว อ่านดูไม่เห็นจะรู้เรื่อง --- เอ๊ะ !!! --- ผมรีบปิดฝักบัว วิ่งออกไปจากห้องน้ำ ...

แทบลืมเปิดประตูกันเลยทีเดียว ดีที่มันขวางเอาไว้ บอกตามตรง หากผมสามมารถวิ่งทะลุประตูได้ผมคงทำไปแล้ว ...

ที่ด้านนอก ถุงถูกวางอยู่ที่พื้น มันมีรูระหว่างรอยมัดที่ปากถุง ใหญ่พอให้เขี่ยนกออกมาได้ "อ่าาาาาา ... ออกมาแล้วๆ" ผมแกะเบาๆ

โอ้ว์ ------- !!

มันมีข้อความด้วย ... อันนี้ล่ะ ... ก็มี ... อันนั้น ... ก็ด้วย "เจ๊เขียนทุกแผ่นเลยเหรอเนี่ย"

------- (ข้อความ // หน้ากระดาษ // ความลับ) -------

ค่ำนี้ฉันนั่งมองดาวคนเดียว พลางส่งความคิดถึงไปให้คุณ ตรงนี้ฉันเห็นคุณชัดทีเดียว "คุณดาวศุกร์" วันนี้เป็นวันที่เก้าร้อยสามสิบห้าแล้วสินะ นับตั้งแต่คุณแม่เข้าห้อง "ไอซียู" ทำไมนะ ... ทำไมฉันรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย คิดมาตลอดว่าทำไมมันไม่เป็นฉัน ... ที่อยู่ในรถคันนั้น ... เธอมีคำตอบให้ฉันใช่มั้ยคุณดวงศุกร์ ... ถ้ามีกรุณารีบตอบฉันทีนะ "ใจฉันจะขาดอยู่แล้ว"

------- (ปิดหน้าดระดาษ // ก้มหน้า) -------

มันสั้น อ่านไม่นานก็จบ แต่ดูเหมือนเรื่องบางเรื่อง มันช่างยาวนาน ไม่จบ ... ยังยืดเยื้ออยู่ในความคิดของใครบางคน กับใครอีกคนที่นอนหลับอยู่เกือบสามปี "ขี้เซาจริงนะ"

ผมต้องทำอะไรบางอย่างแล้ว ...

------- (จบตอน) -------

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

จดหมายฉบับสุดท้าย ...

ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันไม่เคยบอกแกเลยว่า "รัก" แกอย่างไร แบบไหน นั่นคงเป็นเพราะว่ามันไม่รู้จะนำมาเทียบเคียงกับอะไร ...

ถ้ามีคนเอาจดหมายนี่ให้แก ฉันคงจากโลกนี้ไปแล้ว อยากบอกว่าไม่เสียใจที่ได้คบ ได้คุย ได้เอาหัวไหล่ชนกับแก เวลามันสิ้นมากเนอะ เจอกันไม่นานก็จากกันอีกแล้ว ฉันไม่เคยทำใจยอมรับการจากเลยได้เลยสักครั้ง

อยากให้แกระลึกเอาไว้ว่าฉันไม่ได้จากไปไหนไกล ก็อาจจะคงอยู่ในเซลไหนของแกสักเซล อาจจะอยู่ในลมหายใจของแกสักห้วง อยู่ในความคิดถึงของแกบางจังหวะ ... แต่นอนนอน สำหรับฉันมันไม่มีช่วงเว้น

ยังจำครั้งแรกที่เราเจอกันได้มั้ย ... วันที่ฉันร้องเพลงบนเวทีประกวด แกใส่เสื้อสีเขียว ดูบ้านนอกเชียว แต่เชื่อมั้ยแกเป็นคนที่คุยด้วยแล้วสบายใจมาก วันนั้นฉันตัดสินใจชวนแกเป็นแฟนไง ...

เราผ่านอะไรด้วยกันมามาก มากสำหรับชีวิตสั้นๆ ของฉัน ดีใจนะที่ได้กินข้าวหม้อเดียวกับแก ดีใจที่โลกนี้มีคนที่ทะเลาะด้วยได้แบบไม่ต้องเกรงใจ

แกเป็นคนดีมาก ... ฉันจะจำมันไปตลอดกาล วันนึ่งไม่นานเราคงจะได้นั่งเอาไหล่ชนกันอีก ...

ความแปรปรวนของ "อากาศ" ตอนที่ ๑

ใครจะรู้บ้างถ้าอากาศโกรธ ???
ใครจะรู้บ้างถ้าอากาศเหงา ???


หลายคนคงไม่รู้ ... เพราะมองไม่เห็น
น่าแปลกจัง พออากาศเริ่มเย็น กลับพากันห่มผ้า ...


กลับพากันซื้อเสื้อกันหนาว
บางสิ่งที่มองไม่เห็น ...
อาจจะสำคัญและมีความหมายในลมหายใจขึ้นมาล่ะมั้ง


------- (เริ่มเรื่อง) -------


สิ่งที่ถูกมองข้าม --- ผมรู้สึกอย่างนั้น มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับการยืนอยู่ใต้เงาของคนอื่น มันคล้ายว่าเรากำลังจะมีตัวตนอยู่แล้ว แค่อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น แต่มันยังช่างห่างไกลจากการมีตัวตนมากมายเหลือเกิน อีกนัยก็อยากให้มีใครมาสนใจ แต่มันก็หนักอึ้งที่ริมฝีปาก กลายเป็นความหนักใจที่บอกใครไม่ได้


ผมก้าวออกจากบ้านไปด้วยใจห่อเหี่ยว พลางพูดในใจ เพ้อลอยๆ ว่า "ขอให้มีบางสิ่งเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของฉันทีเถอะ" คาดหวังเล็กๆ ว่าวันนี้อาจมีบางสิ่งเกิดขึ้น เหมือนในหนังที่เราเคยดู ที่พอพระเอกตั้งจิตอธิษฐานแล้วมันมักจะได้เสมอ 


ตลอดทั้งวันผมสอดส่ายสายตาเพื่อมองหาบางสิ่งที่ดีเกิน "เส้นปกติ" แต่น่าเสียดาย ... ที่เรื่องที่เกิดขึ้นกับพระเอกในหนัง มันไม่เคยเกิดขึ้นกับผมเลย คงเพราะผมไม่ใช่พระเอกกระมัง


แล้วผมใครเป็นกันล่ะ ... ?!!


ผมเดินเท้ากลับบ้าน ถนนวันนี้เปียกปอนไปด้วยน้ำแฉะ ฝนคงตกลงมาเป็นฟ้ารั่วตอนที่ผมอยู่ในตึกล่ะมั้งรองเท้าที่บรรจงขัดมาอย่างดีน้ำขังหมดแล้ว ... โถ่เอ๊ย !!


ผู้คนรอบกายเดินสวนไปมา บ้างโทรศัทพ์ บ้างคุยกัน บ้างแอบอิง แบ่งปันความอบอุ่นให้กันและกัน และ ... บ้างอยู่คนเดียวเหมือนอย่างผม อากาศอุดอู้พลอยทำให้หายใจติดขัด พรข้อนั้นของผมก็คงติดขัดเหมือนอากาศ ผมเลิกหวังดีกว่า "แค่เพื่อนสักคนยังไม่มีเลย อย่าว่าแต่จะหาใครสักคนมาเดินร่วมทาง"


ความหิวไม่เข้าใครออกใคร --- ระหว่างทางเจอร้านก๋วยเตี๋ยวเข้าร้านหนึ่ง ในช่วงเงินเดือนใกล้ออกอย่างนี้ผมเห็นมันชัดกว่าที่เคย ช่วงเวลาที่ยาวนานและผ่านไปอย่างเชื่องช้าที่สุดของเดือนคือวันนี้ วันที่ยี่สิบแปด รู้สึกราวกับว่าแต่ละวันที่ผ่านไปนาฬิกาจะต้องหมุนเจ็ดรอบถึงจะครบวัน


บะหมี่แห้งชามเล็ก ไม่พิเศษ วางตรงหน้า ผมไม่ต้องขออนุญาติใครทั้งนั้น ทันใดก็หยิบตะเกียบสาวเส้นเหลืองใส่ปาก ไม่ต้องปรุงมันแล้ว ... ซวบบ ... จ๊วบบแจ๊บบ จ๊วบบแจ๊บบ !?


------- (อิ่ม // จ่ายเงิน // ปาฏิหารย์) -------


ระยะทางเหลืออีกครึ่งหนึ่ง ของระยะเดินที่จากมา ผมกำลังจะกลับบ้าน เพื่อไปนอนงอเข่า ... ตะแคงบนที่นอนแข็งๆ "ผู้คนร่วมทางเดิน" ล้นหลามทีเดียว ผมมองออกไปจากมุมนี้ ด้วยความรู้สึกว้าเหว่อย่างที่สุด ...


โครม ----- !!


ผมรู้สึกว่าชนอะไรเข้าบางอย่าง ... ตอนนี้ผมเกาหัวยิกๆ แล้วเหลียวดูรอบๆ


"โอ๊ย ... สุภาพบุรุษ จริงๆ ... ให้ตายทำไม่ต้องมาเป็นนายด้วยนะ" เสียงหวานบ่นเกรี้ยว


"คือผม ... เออ ...ขอโทษ" พลางหลบหน้าไปจากเธอ มือล้วงกระเป๋ากางเกง


เธอคนนั้นเก็บของใหญ่เลย ส่วนจะเป็นอะไรบ้างนั้น ผมก็ไม่อาจรู้ ช่างมันเถอะ !! รีบเดินไปจากเธอดีกว่า สองตามองพื้นผ่านๆ แบบว่าไม่อยากไปเหยียบของที่เธอกำลังเก็บ ... เธอใส่ชุดอะไรน่ะนั่น ... ผมหลบสายตากลับมา ช่างมันๆ ...


"นายน่ะจะไปไหน นี่เป็นผู้ชายรึเปล่า" เธอตวาด -- ผมเอามือชี้หน้าตัวเอง พลางขมวดคิดด้วยความสงสัยเต็มประดา นี่มันคำถามประเภทไหนกัน


"เธอถามเราเหรอ" ผมถาม


"ใช่ย่ะ -- คนปกติเวลาเขาเดินชนผู้หญิงที่ยืนเฉยๆ นอกจากคำขอโทษแล้ว เขาก็ต้องช่วยเก็บของที่ตกด้วยนะ" เธอขมวดคิ้ว ในสองมือยังคงหยิบเก็บบางสิ่งอย่างต่อเนื่อง "ซวบซาบๆ กุกกักๆ" ผมมองไม่ชัด มันออกจะเหลี่ยม ... แหลม ... มันมัวมากไม่ชัดเอาซะเลย ...


"หานี่เหรอ ??" เธอถาม -- พลางยื่นบางสิ่งมาข้างหน้าผม อ๋อ ... นี่มัน ... แว่นตาผมหนิ !!!


ผมหยิบมันมาสวมจากมือของเธอ หลังมือเราเฉียดกันนิดเดียวก็รู้ในทันทีว่ามันช่างอ่อนนุ่ม ภาพของเธอชัดขึ้นมากทีเดียว 


"อู้ว์ !!! Xo%*&/o&^%%!??" 


ผมอุทานออกมา ด้วยสองเหตุผล ข้อแรกของที่เธอเก็บมัน คือ นกกระดาษทั้งกอง มันมหึมามาก ส่วนตรงที่พื้นใกล้ๆ กันนั้นคือโหลแก้วสูงประมาณอกคนปกติ ซึ่งมันแตกไปแล้ว เธอคงพับมันมาเป็นแรมปีแน่ๆ และข้อสองเธอใส่กระโปร่งยาวเสื้อลูกไม้หวานๆ เหมือนเสียงของเธอ เป็นคนผิวขาว หน้าตาของเธอน่ะเหรอ ... "ผมยังไม่บอกหรอก หุหุ"


ผมก้มตัวลงช่วยเธอเก็บ ระวังตัวเองอย่างดี ไม่ยอมอย่างยิ่งที่จะให้เศษกระจกแทงมือของผม ต่างกันกับเธอที่หยิบที่ละเยอะๆ ผมรู้ว่าอีกไม่นาน ... เธอคง ...


"โอ๊ย" เสียงหวานหูร้องลั่น


โดน ... กระ ... จก ... บาด !!!


ทำไมไม่ซื้อหวยถูกได้แบบนี้นะ ผมจับมือเธอแบบไม่แยแส แผลของเธอลึกน่าดู เลือดหยดลงพื้นไม่ขาดสาย ให้ตายสิ !! ผมเกลียดเลือดจริงๆ T.T บรื๋ออออออ !! ... 


"เธอจะทำอะไรน่ะ มันเจ็บนะ" เธอร้อง ผู้คนมองมาทางนี้กันใหญ่ 


"เธอเลือดออก ต้องไปทำแผล เดี๋ยวตาย" ผมพูด


"จะพาไปหาหมอว่างั้น" เธอพยายามอธิบายการกระทำของผม


เงียบ ----- !!


ผมกดปลายนิ้วชี้ของเธอเอาไว้เพื่อห้ามเลือด มันต่างจากละครในทีวีตรงที่แผลของเธอนั้นไม่ได้น่ารักกระจุ๋มกระจิ๋มเหมือนนางเอกในจอ กลับกัน มันแยกออกเป็นร่องลึก จนเลือดแดง นองเต็มเสื้อผม ยังดี ...คลีนิคอยู่แค่ฝั่งตรงข้ามเท่านั้น "เราข้ามถนนไปด้วยกันผ่านความพลุกพล่านของผู้คนและรถบนถนน" 


"โดนอารายมาาาา" หมอแก่เพศผู้ถามยานๆ 


"โดนกระจกบาด" เราตอบพร้อมกัน พลางมองหน้า "ไม่กินเส้นกันนี่หว่า ... ลืมไป"


------- (จบตอน) -------

เครื่องมือของความฝัน

"ผมเคยไปสมัครงานประจำด้วยน้า ..." --- แต่เขาไม่รับ


มีคนบอกว่าผมว่า "เราต้องปรับตัวเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริงบ้าง ..."

"โลกแห่งความเป็นจริง" --- คำนี้ดังก้องมาในใจ เชือดเฉือนทุกอณูกำลัง บั่นทอนความหวังของศิลปินอย่างผมให้ขาดสะบั้น หากแต่ผมยิ้มรับ หัวเราะทั้งน้ำตา

แต่ก็น่าแปลกที่เราก็ยังต้องทำ ... ทำงานให้ใครบางคน ...

"ก่อนหน้านี้เราทำงานอะไรมาบ้าง" ลูกจ้างท่าทางเหมือนเจ้าของกิจการถาม

"เล่นดนตรีครับ เขียนเพลง เขียนหนังสือ ... ประมาณนั้น"


----- เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง -----

"แล้วทำไมมาสมัครงานประจำ" เขาถาม

"แม่ด่าทุกวันว่าต้องทำอะไรที่มั่นคงบ้าง" ผมตอบยิ้มๆ


--- เขานิ่งเงียบ ---

"เป้าหมายชีวิตของเราล่ะ" เขาคุ้ยดู

"ผมอยากเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น" ผมตอบซื่อๆ


--- เขาคิดอีก ---

เราคุยกันประมาณนี้ไปอีกเกือบหนึ่งชั่วโมง สุดท้ายคือเขาไม่รับผม ... โดยเขาคิดว่าผมจะไม่อยู่กับเขาไปตลอด --- ผมงง !!! ทำไมต้องตลอด ??

เขาให้เหตุผลว่าบริษัทต้องเดินหน้าไปเรื่อยๆ การที่มีคนทำงานแล้วหยุด แล้วรับคนเข้ามาใหม่เรื่อยๆ บริษัทก็จะโตลำบากนั่นเอง --- แปลว่าคนที่สมัครงานในตำแหน่งหนึ่งก็ทำไปคนหมดช่วงชีวิต

ผมเข้าใจ ... เดินออกมา ไม่เสียใจเพราะอย่างน้อยเราก็รู้จักตัวเองมากขึ้นอีกนิด


--- ระหว่างทาง // พลางคิด ---

ย้อนเวลากลับไปสมัยก่อนโลกนี้มันก็ไม่มีเงินนี่หว่า เขาใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ "ระบบเกื้อกูล" ยามหิวเอาผลของต้นไม้มากิน อิ่มแล้วปาทิ้ง ลงดิน งอก !!!

ปวดฉี่ ไม่ต้องเข้าที่ไหนไกล ต้นไม้ต้นไหนก็ได้ เป็นปุ๋ย ... ถ้าข้าศึกบุกล่ะ !!! ผมยิ้มหัวเราะระหว่างเดินกลับบ้าน

แน่นอนใครจะไปขยันรดน้ำได้ทุกวัน ผมยังไม่ขยันเลย แต่โลกนี้ก็มีพระคุณจริงๆ ฤดูกาลจะคอยทำหน้าที่นี้แทนเรา แถมในแต่ละฤดูพืชผักต่างๆ ก็หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันมากให้เรากินไม่ซ้า พอเราคิดถึงอยากกินอีก ก็อดใจหน่อย เดี๋ยวก็ได้กินในฤดูต่อๆ ไป

ด้วยเหตุนี้เราจึงมีเวลาว่าง .... ต่างกับคนในยุคนี้ที่ไม่ว่าง แล้วก็ไม่มีกิน

คนใจดีถูกบังคับโดยระบบที่มีคนกำหนดไม่กี่คน เปลี่ยนไป ... กลายเป็นคนที่ต้องเห็นแก่ตัว เพราะต้องหาเงินเลี้ยงปากท้อง --- แต่คนเราไม่ได้กินเงินหนิ

แต่เราก็ว่าใครไม่ได้ เราเป็นคนดีมีเหตุผล เสียน้ำตาเพราะเขาว่าไม่เป็นไร --- ยังไงซะต้นไม้ก็คอยปลอบใจอยู่แล้ว "นี่ต่างหากคือโลกแห่งความจริงของผม"

ผมเชื่อว่ามีอีกหลายคนที่อยากทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แต่ชีวิตมันเล่นตลกกับเรา มองไปทางไหนเห็นแต่คนดี คนเก่ง คนสำเร็จ แต่เรายังไม่ถึงไหน แถมเงินก็จะหมดอีก ยังโดนที่บ้านกระหนาบซ้ำเติมจนแทบคลาน

รู้นะว่าควรทำตามฝัน แต่มันก็ไม่กล้า เพราะวินาทีที่เราตั้งใจอยากทำก็มีคนคอยรอเหยียบย่ำเมื่อก้าวพราดอยู่เต็มไปหมด --- ถ้าคุณเป็นคนนั้น --- คนไม่ได้เป็นคนเดียว !!!

โลกนี้ต้องการคนอย่างนี้ คนที่เดินตามความฝัน คนที่เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น ไม่อย่างนั้นโลกนี้ก็จะเดินไปตามที่มันเคยเดินมา คือ "คนที่ฝันคือนคนหลั่งน้ำตา" ปรบมือต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความจริงแป่ะๆ

ผมเชื่ออย่างสุดหัวใจ ศรัทธาอย่างที่ไม่เคยศรัทธาอะไรเท่านี้มาก่อน ว่ามันต้องมีสักวิธีที่คนเราจะทำตามความฝันได้ และสามารถมีชีวิตอยู่รอด มีความสุขได้อย่างยั่งยืน ...

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราทุกคนคงจะเชื่อในสิ่งนี้ร่วมกัน ... ทำสิ่งที่เชื่อทุกวัน ... ด้วยศรัทธา

พอลืมตาขึ้นมา "อ่าว ... เราสำเร็จแล้ว"

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เปียกปอนผ่านการเวลา

พื้นผิวแผ่นน้ำบนพื้นคอนกรีตกระเพื่อมออกเป็นวง จากจุดศูนย์กลางมันแผ่ออกไปทางด้านข้าง ก่อนที่หยาดหยดของสายน้ำที่ตกลงมาจากฟากฟ้าหยดแล้วหยดเล่าจะหลั่งไหลรินรดลงมา

ประกายระยับของสายฝนยามที่ตกลงมากระทบผิวน้ำเบื่องล่างในยามนี้นั้นช่างละม้ายคล้ายกับแสงระยิบของเพชรน้ำงามตามโฆษณาใน "ทีวี" ดึงความรู้สึกของชายหนุ่มร่างสันทัดเข้าไปอีกห้วงหนึ่งของกาลเวลา

เขาเป็นเด็กชายผิวขาวในวัยกำลังซน ชุดนักเรียนชั้นประถมถูกสวมเอาไว้อย่างอย่างยุ่งๆ เวลาบ่ายสี่โมงกำลังจะมาถึง และเขาก็ตั้งตารอคอยแม่อยู่ตรงนั้น ที่อาคารเก่าสีเขียว มันเป็นอาคารที่สร้างขึ้นจากไม้ทั้งหลัง

เด็กชายชันเข่าท้าวคางพลางพ่นลมหายใจออกไปปะปนกับความเย็นของอากาศอย่างเบื่อหน่าย ท่ามกลางเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายหญิงวัยเดียวกัน

การรอคอยยืดช่วงเวลาชั่ววินาทีให้ยาวออกไปแสนไกล จากจุดนี้ระยะทางแห่งการรอคอยนั้นผ่านมายาวไกลแล้ว หากแต่มันยังไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดได้เลย "เขาไม่เคยต้องรอนานขนาดนี้มาก่อน"

แฉะ แฉะ แฉะ แฉะ แฉะ แฉะ

เสียงรองเท้าบูทยางดังขึ้น มันดึงเขาออกมาจากภวังค์แห่งการรอคอย เป็นสตรีวัยกลางคนในชุดคนขายยาคูล์ที่กำลังเดินเข้ามา

เด็กชายทอดถอนลมหายใจออกอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเดินไปที่โตะไม้ของครูประจำชั้น

"ครูครับ ..."

"จ่ะ" ครูสาวในเสื้อสีขาวลายจุดสีน้ำเงินตอบกลับมาพลางหยิบเหรียญห้าบาทขนาดใหญ่ออกมาจากกระเป๋าสะพายที่อยู่ "ใต้โต๊ะ" ของเธอเอง

"วราวุฒิ เธอเขียนลงไปในสมุดด้วยนะ ว่าวันนี้เบิกไปกี่บาทแล้ว"

"ครับ" เด็กชายตอบกลับพลางเขียนเลขสิบลงบนหน้ากระดาษของสมุดเล่มใหญ่ปกสีน้ำเงิน

ตึก ตึก ตึก ตึก

เขากระทบเท้าที่ถูกหุ้มเอาไว้ด้วยถุงเท้าสีขาวปนเหลืองยานๆ ออกไปบนพื้นไม้กระดานของห้องเรียน

"ผมเอาหนึ่งขวดครับ"

"ได้จ่ะ" สาวใหญ่วัยกลางคนล้วงมือหยิบขวดยาคูล์ขวดหนึ่งออกมาให้เด็กชาย ก่อนที่จะเก็บเงินและเดิน แฉะ แฉะ แฉะ แฉะ กลับไป "มันไม่มีคำร่ำลา"

เด็กชายทรุดตัวลงนั่งชันเข่าตรงที่เดิม

สายฝนกลายเป็นเพียงหยดน้ำที่เลื่อนตัวไปมาบนใบบัวในอ่างดินเผาริมบันไดห้องเรียน ประกายระยับของเพชรน้ำงามจากไปแล้ว "ไม่มีคำร่ำลา"

ขวดยาคูล์นอนแน่นิ่งอยู่ในมือของเด็กชาย ฝาของมันไม่ได้ถูกเปิด หลอดยังคงถูกวางเอาไว้บนพื้นไม้ใกล้กันกับก้นของเขา

แปะ

หยดน้ำใสๆ เม็ดเล็กจิ๋วตกกระทบกับหัวเข่าของเด็กชาย อณูน้ำใสรวมตัวกันที่แววตาเศร้าสร้อย ครั้งนี้มันมีขึ้นทั้งสองข้างของดวงตา ระยะทางแห่งการรอคอยยังคงทอดยาวออกไป และมันยังคงไม่มีจุดสิ้นสุด

หากเด็กชายกระพริบตาอีกครั้ง สายฝนแห่งความทรมานคงจะทิ้งตัวเองลงไปบนเข่าทั้งสองข้างของเขาเป็นแน่ แต่เขากลับเช็ดมันออกด้วยปกเสื้อของเขาเอง ก่อนจะมองพื้นคอนกรีตที่อยู่ภายนอกของอาคารเรียนอย่างไม่มีจุดหมาย

กริ๊ง กริ๊ง

เพียงครู่เดียวหลังจากช่วงเวลาเหม่อลอยของเด็กชาย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น มันดังอยู่เพียงสองหนก่อนที่คุณครูสาวจะหยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู

เด็กชายคนเดิมยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงที่เดิม เขาไม่ได้หันมามองหรือเฉลียวตา ในมือยังคงถือขวดยาคูล์เอาไว้

ครูสาววางหูโทรศัทพ์ลงบนเครื่องอย่างเชื่องช้า ความเหม่อลอยอยู่ในดวงตาทั้งสองของเธอ

ครูสาวค่อยๆ ก้าวขาไปข้างหน้าที่ละก้าว ก่อนที่ร่างอรชรของเธอจะหยุดอยู่ใกล้กับเขาในระยะแค่ปลายนิ้วชี้ สายฝนตกลงกระทบไหล่ของเด็กชาย มันดัง แปะ อย่างแผ่วเบาบนไหล่ของเขาสองหยด

เด็กชายหันร่างกลับมาด้วยความสงสัย น้ำตายังคงคลออยู่ที่ตาทั้งสองข้าง

ครูสาวรั้งร่างเด็กชายเข้ามากอด และพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า

"วราวุฒิ แม่คงมารับหนูไม่ได้แล้วนะจ๊ะ"

"ทำไมล่ะครับครู" เด็กชายถามขึ้นด้วยความตื่นตกใจ

"แม่ของหนู ... เสียแล้วจ่ะ ครูเสียใจด้วยนะจ๊ะ"

ขวดยาคูล์ตกลงบนพื้นไม้กระดาน เด็กชายผลักครูสาวออกและวิ่งออกไปบนพื้นคอนกรีตอย่างไร้จุดหมาย แม่ของเขาจากไป "ไม่มีคำลาอีกเช่นเคย"

เวลาผ่านไปเด็กชายคนเดิมกลายเป็นเด็กหนุ่มที่นั่งมองสายฝน "แม้น้ำตาจะแห้งไปแล้ว แต่มันยังคงไหลอยู่ภายในใจของเขา ฝนที่ตกในวันนั้นยังคงเปียนปอนจนถึงวันนี้"

เรื่องสั้น เปียกปอนผ่านกาลเวลา

พื้นผิวแผ่นน้ำบนพื้นคอนกรีตกระเพื่อมออกเป็นวง จากจุดศูนย์กลางมันแผ่ออกไปทางด้านข้าง ก่อนที่หยาดหยดของสายน้ำที่ตกลงมาจากฟากฟ้าหยดแล้วหยดเล่าจะหลั่งไหลรินรดลงมา

ประกายระยับของสายฝนยามที่ตกลงมากระทบผิวน้ำเบื่องล่างในยามนี้นั้นช่างละม้ายคล้ายกับแสงระยิบของเพชรน้ำงามตามโฆษณาใน "ทีวี" ดึงความรู้สึกของชายหนุ่มร่างสันทัดเข้าไปอีกห้วงหนึ่งของกาลเวลา

เขาเป็นเด็กชายผิวขาวในวัยกำลังซน ชุดนักเรียนชั้นประถมถูกสวมเอาไว้อย่างอย่างยุ่งๆ เวลาบ่ายสี่โมงกำลังจะมาถึง และเขาก็ตั้งตารอคอยแม่อยู่ตรงนั้น ที่อาคารเก่าสีเขียว มันเป็นอาคารที่สร้างขึ้นจากไม้ทั้งหลัง

เด็กชายชันเข่าท้าวคางพลางพ่นลมหายใจออกไปปะปนกับความเย็นของอากาศอย่างเบื่อหน่าย ท่ามกลางเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายหญิงวัยเดียวกัน

การรอคอยยืดช่วงเวลาชั่ววินาทีให้ยาวออกไปแสนไกล จากจุดนี้ระยะทางแห่งการรอคอยนั้นผ่านมายาวไกลแล้ว หากแต่มันยังไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดได้เลย "เขาไม่เคยต้องรอนานขนาดนี้มาก่อน"

แฉะ แฉะ แฉะ แฉะ แฉะ แฉะ

เสียงรองเท้าบูทยางดังขึ้น มันดึงเขาออกมาจากภวังค์แห่งการรอคอย เป็นสตรีวัยกลางคนในชุดคนขายยาคูล์ที่กำลังเดินเข้ามา

เด็กชายทอดถอนลมหายใจออกอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเดินไปที่โตะไม้ของครูประจำชั้น

"ครูครับ ..."

"จ่ะ" ครูสาวในเสื้อสีขาวลายจุดสีน้ำเงินตอบกลับมาพลางหยิบเหรียญห้าบาทขนาดใหญ่ออกมาจากกระเป๋าสะพายที่อยู่ "ใต้โต๊ะ" ของเธอเอง

"วราวุฒิ เธอเขียนลงไปในสมุดด้วยนะ ว่าวันนี้เบิกไปกี่บาทแล้ว"

"ครับ" เด็กชายตอบกลับพลางเขียนเลขสิบลงบนหน้ากระดาษของสมุดเล่มใหญ่ปกสีน้ำเงิน

ตึก ตึก ตึก ตึก

เขากระทบเท้าที่ถูกหุ้มเอาไว้ด้วยถุงเท้าสีขาวปนเหลืองยานๆ ออกไปบนพื้นไม้กระดานของห้องเรียน

"ผมเอาหนึ่งขวดครับ"

"ได้จ่ะ" สาวใหญ่วัยกลางคนล้วงมือหยิบขวดยาคูล์ขวดหนึ่งออกมาให้เด็กชาย ก่อนที่จะเก็บเงินและเดิน แฉะ แฉะ แฉะ แฉะ กลับไป "มันไม่มีคำร่ำลา"

เด็กชายทรุดตัวลงนั่งชันเข่าตรงที่เดิม

สายฝนกลายเป็นเพียงหยดน้ำที่เลื่อนตัวไปมาบนใบบัวในอ่างดินเผาริมบันไดห้องเรียน ประกายระยับของเพชรน้ำงามจากไปแล้ว "ไม่มีคำร่ำลา"

ขวดยาคูล์นอนแน่นิ่งอยู่ในมือของเด็กชาย ฝาของมันไม่ได้ถูกเปิด หลอดยังคงถูกวางเอาไว้บนพื้นไม้ใกล้กันกับก้นของเขา

แปะ

หยดน้ำใสๆ เม็ดเล็กจิ๋วตกกระทบกับหัวเข่าของเด็กชาย อณูน้ำใสรวมตัวกันที่แววตาเศร้าสร้อย ครั้งนี้มันมีขึ้นทั้งสองข้างของดวงตา ระยะทางแห่งการรอคอยยังคงทอดยาวออกไป และมันยังคงไม่มีจุดสิ้นสุด

หากเด็กชายกระพริบตาอีกครั้ง สายฝนแห่งความทรมานคงจะทิ้งตัวเองลงไปบนเข่าทั้งสองข้างของเขาเป็นแน่ แต่เขากลับเช็ดมันออกด้วยปกเสื้อของเขาเอง ก่อนจะมองพื้นคอนกรีตที่อยู่ภายนอกของอาคารเรียนอย่างไม่มีจุดหมาย

กริ๊ง กริ๊ง

เพียงครู่เดียวหลังจากช่วงเวลาเหม่อลอยของเด็กชาย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น มันดังอยู่เพียงสองหนก่อนที่คุณครูสาวจะหยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู

เด็กชายคนเดิมยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงที่เดิม เขาไม่ได้หันมามองหรือเฉลียวตา ในมือยังคงถือขวดยาคูล์เอาไว้

ครูสาววางหูโทรศัทพ์ลงบนเครื่องอย่างเชื่องช้า ความเหม่อลอยอยู่ในดวงตาทั้งสองของเธอ

ครูสาวค่อยๆ ก้าวขาไปข้างหน้าที่ละก้าว ก่อนที่ร่างอรชรของเธอจะหยุดอยู่ใกล้กับเขาในระยะแค่ปลายนิ้วชี้ สายฝนตกลงกระทบไหล่ของเด็กชาย มันดัง แปะ อย่างแผ่วเบาบนไหล่ของเขาสองหยด

เด็กชายหันร่างกลับมาด้วยความสงสัย น้ำตายังคงคลออยู่ที่ตาทั้งสองข้าง

ครูสาวรั้งร่างเด็กชายเข้ามากอด และพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า

"วราวุฒิ แม่คงมารับหนูไม่ได้แล้วนะจ๊ะ"

"ทำไมล่ะครับครู" เด็กชายถามขึ้นด้วยความตื่นตกใจ

"แม่ของหนู ... เสียแล้วจ่ะ ครูเสียใจด้วยนะจ๊ะ"

ขวดยาคูล์ตกลงบนพื้นไม้กระดาน เด็กชายผลักครูสาวออกและวิ่งออกไปบนพื้นคอนกรีตอย่างไร้จุดหมาย แม่ของเขาจากไป "ไม่มีคำลาอีกเช่นเคย"

เวลาผ่านไปเด็กชายคนเดิมกลายเป็นเด็กหนุ่มที่นั่งมองสายฝน "แม้น้ำตาจะแห้งไปแล้ว แต่มันยังคงไหลอยู่ภายในใจของเขา ฝนที่ตกในวันนั้นยังคงเปียนปอนจนถึงวันนี้"

ความแปรปรวนของ "เม็ดฝน"

------- ฟ้าขมัว // คอนกรีต // ฟุตบาทคับแคบ // เด็กหญิงคนหนึ่ง -------


“สายฝนตกลงมาแล้ว มันเหมือนน้ำจากฝักบัว ที่เมื่อเอาตัวไปยืนอยู่ข้างใต้ความเปียกเย็นนั้น ... จะได้ยินเสียงของลมดังแว่วมา"

"มันเปาะแปะ ... สั่นเครือเมื่อกระทบร่างของเรา” มาลีในชุดประโปรงยาวสีฟ้าอ่อน เอ่ยขึ้นในความคิดขณะที่หนูน้อยยิ้มร่ากลางสายฝนพลางหมุดตัวไปมาอย่างสนุกสนาน

“มาลี ... เดี๋ยวเธอก็เป็นหวัดหรอก...” --- ปุยเมฆตุ๊กตาหมีสีขาวตุ่นๆ ในอ้อมแขนของมาลีพูด แน่นอนที่บัดนี้ตัวของมันหนักอึ้งเพราะหยดน้ำใสๆ จากกลางฟ้าได้หลอมรวมเป็นอณูหนาแน่นอยู่ในใยนุ่นของมัน กระนั้นมาลีก็ยังไม่ละอ้อมกอดไปจากมัน ...

“ปุยเมฆ ... เธอเห็นรอยยิ้มนั้นมั้ย ตรงนั้น ... ในเม็ดใสๆ ของสายฝน”
มาลีพลางชี้มือไปบนฟ้า ไล่นิ้วไปตามหยดน้ำที่ตกลงมา

“มีรอยยิ้มของใครบางคน ในน้ำตาของใครบางคน ... น่าแปลกเนอะ”

“เรามีความสุขในความเศร้า หรือเรามีความเศร้าในความสุขกันนะ ...”
มาลีเอานิ้วชี้มาแตะริมฝีปาก ครุ่นคิด ...


------- (เวลาผ่านไป ขณะหนึ่ง) -------


เธอส่งรอยยิ้มไปบนท้องฟ้า --- ฟันไม่ครบ --- แต่สุขเต็มยิ้ม --- เธอคงคิดได้แล้ว ...
มาลีหมุนกายเปียกๆ ของเธอต่อไป ไม่ไยดีต่อความสงสัย

“ช่างมันเถอะ ไม่สนแล้วว่าความสุขจะอยู่ที่ไหน ถ้ามีจริงฉันก็ต้องหาเจอจนได้แหละ หวังว่าใครบางคนคงได้รับยิ้มจากฉันบ้างนะ” เธอพูดกับปุยเมฆเบาๆ แขนหนึ่งพลางรั้งร่างเปียกปุยเข้ามาสวมกอดไว้ --- แน่นขึ้น --- เมฆปุยเองก็ทำเช่นเดียวกัน

ตรงนี้รอยยิ้มเต็มใบหน้าของทั้งสอง ...
ความสุขใสในเม็ดฝนฉ่ำใจ รอยยิ้มใคร ... มาถึงเธอ

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความแปรปรวนของ "ตีสี่"

นาฬิการปลุกไม่ได้ดัง เสียงเพลง เสียงดนตรีเงียบสนิท ... ใครบางคนลืมอะไรบางอย่าง ... ใช่แล้วเขาลืมตาใต้ฟ้ามืดดำ แสงทองของพระอาทิตย์ยังไม่มาเยี่ยมเยือน

เขาทอดสายตาที่เบลอขี้ตาไปรอบตัว มันยังคงดำมืด ดูเหมือนตอนนี้เขามองไม่เห็นเงาของตัวเองด้วยซ้ำ หรือว่าเขาจมอยู่ใต้เงาของตัวเองกันนะ ถึงคลับคล้ายแต่มันก็ไม่อาจสรุป

สองมือตะคุ่ม คลำหาปุ่มสวิชไฟที่ริมกำแพงห้อง มันช่างยาวไกล ... ผิวสัมผัสหยาบด้านแสนซากมือทอดตัวไปอย่างไร้จุดหมาย มันไม่ได้พูดอะไรกับเขาเลยสักคำ

เอ๊ะ ------- !!! มีบางอย่างเลื่อนตัวผ่านมือของเขาเข้า ... มันคือสวิชไปใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ล่ะ ! ถ้ามันเป็นรูปลั๊ก เขาคงต้องสิ้นชีพดาวดิ้นอยู่เพียงลำพัง "ไม่เอาดีกว่า ไม่หาแล้ว"

เขาคลานกลับมาที่นอน แต่ที่ไหนล่ะ ------- ??

ห้องเล็กๆ แห่งนี้กว้างขวางประหนึ่งอวกาศ เว้นแต่เพียงว่าที่นี่ไม่มีดวงดาวคอยจรัสแสงนำทาง เขาคลำไปบนพื้นกระเบื้อง สองมือกวาดไปมาเชื่อช้าไขว่คว้าหาที่นอน ...

ถ้ามีแมลงสาบล่ะ ------- ?? เขาถาม
ถ้ามีตะขาบล่ะ ------- ?? เขาขยี้ตัวเองอีกด้วยคำถามต่อเนื่อง

"บรื๋ออออๆ ... ไม่เอาดีกว่า ... ช่วงนี้ยิ่งชุมๆ อยู่ด้วย
วันก่อนก็เจอตะขาบตัวหนึ่งที่ห้องน้ำ ตัวใหญ่เท่านิ้วโป้งแน่ะ"

แล้วเขาจะทำยังไงต่อไป ... เหมือนชีวิตเป็นเรื่องตลกที่ดันตืนมาก่อนที่จะถึงเวลาเช้า มิน่าล่ะ ... ถึงเรียกว่าเช้ามืด เพราะมันมืดจริงๆ

สิ่งที่เขาตัดสินใจ คือ เขาชันเข่าตัวเองขึ้นมากอด ซุกหน้าเงาๆ ของเขาบนลงไปบนนั้น เงยหน้าขึ้นมาบ้างเพื่อมองหาท้องฟ้า

หากแต่มันทางไหน ------- ??
แล้วรู้ได้ยังไงว่าไม่ได้หันหน้าเข้าหากำแพง ------- ??

เขาเงยหน้าขึ้นมาจากหลุมหลบภัยในที่สุด !!! พลางค่อยๆ ยืดแข้งขาออกด้วยความเมื่อยล้า เพราะนั่งอยู่นาน ...

"เอาล่ะ ! ตายเป็นตาย อยู่ตรงนี้ก็ตายทั้งเป็นอยู่แล้ว
ไม่แน่ ... ฉันอาจพบคำตอบที่ริมกำแพง" เขาคิดด้วยท่าทีอดรนทนไม่ได้

ว่าแล้วก็จรดเท้าที่ตอนนี้ฉ่ำชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อแห่งความกลัว
หรือทั้งหมดนี้เป็นเพียงความฝัน ------- ?? เขาคงจมอยู่ใต้เงาของตัวเองกระมัง !

เขาเดินต่อไปพลางเหยียดมือไปข้างหน้า ก้าวต่อไป ทีละก้าว ทีละก้าว ... ช้าเชื่อง ย้างเยื่อง อย่างนั้น อย่างนั้น

"อ๊ะ !! แตะได้แล้วกำแพงสินะ ..." เขาคิดอย่างอดดีใจไม่ได้ ดีชั่วจะได้รู้กันในไม่ช้า ...

ลูบมือต่อไปบนผนังห้อง พลางคิด "สวิชไฟน่าจะสูงๆ หน่อยประมาณนี้" ลูบต่อไปด้วยก้าวที่มากขึ้นถี่ขึ้น และถี่ขึ้นดุจลมหายใจ

ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ เสียงใจเต้นระรัวในอกชาย ...

"เฮ๊ย ... นี่มัน ! " บางสิ่งคล้ายทรงเหลี่ยมผ่านผิวสัมผัสของเขาไป เขาค่อยๆ ลูบไล้ละเลียดผิวหนังหยาบหน้าของมือชายชาตรี

"ไม่มีรู มีปุ่ม เจอแล้วสวิชไฟ ------- ไชโย ------- !!!" เขาลั่นเสียงแห่งความดีใจออกมาในที่สุดตัดสินใจกดลงไปอย่างไม่ลังเล ...

ไฟสว่างพรึบ !!!

เขารีบหลับตาเนื่องจากแสบ ... จ้าซะขนาดนั้น !!!

พักหนึ่งพอทุเลาก็ค่อยๆ ลืมขึ้นอีกครั้ง ... นาฬิกาที่อยู่ด้านขวาของห้องตอนนี้มันอยู่ด้านหน้าเขาแล้ว เข็มสั้นชี้เลขสี่ เข็มยาวชี้เลขแปดกว่าๆ

"ตีสี่สี่สิบสี่" เขาทวนให้มันดังในความคิด ที่นอนไม่ไกลนักอยู่ด้านขวา ไม่นานพอชิน เขาจึงเดินไปเปิดตู้เก็บของที่มุมห้องอีกด้าน เพื่อหยิบไฟฉาย ก่อนจะปิดไฟ แล้วอาศัยความสว่างของไฟฉายเดินกลับมายังที่นอน เสียบตัวลงในผ้าห่มแสนอุ่น ... หลับตา วางไฟฉายข้างเตียง ถอนหายใจออกยาวเหยียด

หรือว่านี่คือความฝันของเขา ------- ??
หรือว่าเขาจมอยู่ใต้เงาของตัวเอง ------- ??

ช่างมันเถอะ ... บ้าบอ ...

หูด

ก้อนเนื้องอกสีดำเลื้อยอยู่ที่ลำคอของผมคล้ายงู ต่างกันตรงที่มันไม่ขยับ เวลาไปโดนมันเข้า "โอ๊ย" ... ผมร้อง ไม่ใช่มันแต่อย่างใด

พ่อก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ผมก็ไม่รู้สึกอะไร หากไม่มีใครไปแกะ ไม่เคยคิดจะไปตัดเลย มันต้องท้าวความตั้งเด็กเพิ่งจำความได้ ความทรงจำแรกๆ ของผม คือ ผมกำลังวิ่งไปบนพื้นพรมหนานุ่มของบ้าน พ่ออยู่เบื้องหน้าไม่ไกล จำได้ว่าพ่อเพิ่งกลับบ้าน และผมต้องอยู่คนเดียวเกือบหนึ่งวันเต็ม ด้วยความดีใจจึงรีบวิ่งเข้าไปสวมกอด หวังในใจว่าจะแนบลำตัวรักพ่อให้แน่นที่สุด

ทุกอย่่างเป็นไปตามคาด คือ ได้วิ่งและสวมกอด แต่มีเผอิญไปโดนบุหรี่ในมือของพ่อจี้เข้าอย่างจัง ผมรีบดึงมืออกมา แล้วคงจะร้องไห้ แต่ที่แน่ๆ มันเจ็บ แสบ รวดร้าวความรู้สึกที่เปราะบางของผมในวัยนั้นมาทีเดียว

"ต้องเราไฟจี้นะ ถึงจะเอามันออกได้ เจ้าหูดเนี่ย" หมอบอกพ่อ ผมในชุดอนุบาลก็นั่งอยู่ด้วย พลางนึกภาพ นึกความรู้สึกในวันที่โดนไฟครอกที่มือเล็ก น้ำตามันไหล ร้องไห้เสียงดังด้วยความกลัว และวิ่งออกไปจากห้องตรวจไข้

พ่อวิ่งตามร้องเรียก แต่ผมไม่หยุด วิ่งไปแอบที่ร้านหนังสือ ไม่มองอะไรนอกจากที่ซุกตัวจากความโหดร้ายสักที่ เพราะคิดว่าหากจับได้ต้องตายแน่ ...

พ่อวิ่งตามมา พลางถามหาผมเป็นการใหญ่ ตะคอกถามคนขายของเสียงดัง ผมกลัวจนตัวสั่นเทา ตอนนี้ผมอยากออพไปจากโลกนี้เสัยจริง พลางนึกว่าเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป มันเป็นแค่อีกคืนบนที่นอน ผมคงจะฉี่ราดอีกตามเคย ...

พ่อมองหาแล้วก็ทำท่าเหมือนจะเดินออกไป ผมรอจนพ่อเดินออกไปจึงย้ายตัวออกมา ทันใดนั้นพ่อหันมา วิ่งเข้าใส่ผมกระชากคอเสื้อคนขาดแล้วลากไปตามทางที่จากมา ผมยกมือไหว้ ร้องขอชีวิต ร้องไห้เสียงดัง พ่อไม่พูดอะไร ...

แต่ทางขากลับไม่ได้ไปที่ห้องตรวจโรค มันกลับตรงไปที่รถของพี่ เชฟคาเมโร่ สีเขียวเข้ม พ่อเปืดประตูเหวี้ยงผมขึ้นไปอย่างแรงและปิด ขึ้นมาบนรถขับออกไป

ตั้งแต่นั้นพ่อไม่เคยพูดเรื่องหูดอีกเลย จนวันที่พ่อจากผมไป ... ผมเองก็เช่นกัน

ช่วงไปโรงเรียนเพื่อนจะล้อผมสองอย่างหนึ่งคือ "ไอ้ลูกไม่มีแม่" คำนี้น่าแปลกที่ผมรู้สึกเฉยๆ คงเพราะไม่เคยรู้ว่ามีแม่เป็นยังไง เลยไม่สะเทือนใจ สองนั้นคือคำว่า "ไอ้ตัวหูด" คำนี้ผมโกรธมาก จำได้ว่าเคยเกินโดนไล่ออกจากโรงเรียนเพราะจับหน้าเพื่อนกระแทกโต๊ะไม่นักเรียนไปหลายครั้งกว่าครูจะมา เพื่อนหัวแตกไปหลายแผลที่เดียว

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำเรียกว่ารุนแรง เพราะเวลาโดนพ่อตีก็ใช้วิธีแบบเดียวกัน ... เลยกลายเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อนไปในที่สุด ทุกวันนี้หูดยังเป็นอยู่ ... แต่ผมน่ารักขึ้นมากเพราะโตขึ้นจากวันวาน ...

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความเชื่อ และความพยายาม



------- (๑) -------

ขนลุกซู่ทุกครั้งที่ล้ม

ปาดน้ำตาทุกครั้ง ที่มันหวั่นไหว

ก้าวต่อไปทุกครั้ง ที่สะดุด

ฉันกัดฟัน รอแสงตะวันที่ปลายริ้วขอบเมฆ ...

------- (๒) -------

เปลี่ยนความทุกข์ที่ผ่านมา รวมเอาไว้เป็นกำลัง ให้ก้าวต่อ

เปลี่ยนขวากหนาม เป็นทุ่งหญ้าชอุ่ม

เปลี่ยนความอ้อนล้า เป็นเวลาพักผ่อน และเอนกาย

เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนจริต เป็นคน "คนใหม่"

------- (๓) -------

สักวันใจจะเปิดกว้าง เพื่อรับรอยยิ้มครั้งใหม่

สักวันฤดูที่เราเกลียดจะจากไป ... มันเป็นแค่แป๊ปเดียว

เดี๋ยวสิ่งใหม่หมุนมา เวียนมา "เธออย่ายอมแพ้ เพียงพอ"

พอที่จะรู้ว่า "ชีวิตยังหวังได้ แม้ไม่ได้ก้าวไปไกลแต่ใช่ว่าจะอยู่ที่ศูนย์"

******************************

------- ตื่น หลับ ตื่น หลับ เราหลับเพื่อตื่น หรือตื่นเพื่อหลับ 

------- เราหลับตาเพื่อลืมตาหรือ ลืมตาเพื่อหลับตา 

------- เราพักเพื่อก้าวต่อ หรือก้าวเพื่อพัก ...


จงศรัทธาในสิ่งที่เราเชื่อมั่น --- มีคนเคยบอกผม เธอ คือ ภัทราวดี มีชูธน หรือที่รู้จักในในนาม "ครูเล็ก" วันนั้นเป็นวันที่ผมสับสน สับสนว่าชีวิตศิลปินของผมจะเอาอะไรยาไส้ ผมพอรู้ว่ายังมีฝนแห่งความหวังในยามเช้า หากแต่น้ำค้างยามค่ำคืนของผมกำลังจะหมดลง 

มันอาจหมายถึงลมหายใจของผมด้วย ...

เวลานี้อะไรคือคำตอบ ผมจะมีชีวิตอยู่จนถึงช่วงเวลาที่ปลอยฝนนั้นแวะมาเยี่ยมเยี่ยนผมหรือไม่ ... มันไม่มีเหตุผลเป็นตัวเลข หรือปริมาณอันชี้วัดได้ มันมีแต่ความเงียบงัน

"จงศรัทราในสิ่งที่เชื่อ" มันดังกว่าทุกเสียงในใจกลางของความสับสน ช่วงเวลาที่ผมดำดิ่งลงในเงามืดของตัวเอง ...

กัดฟันแน่น ขนลุกซู่ไปด้วยกำลังใหม่ ท้องฟ้ายังมืดดำ แต่ยามเช้าชอุ่มกำลังมา และ ...

ผมต้องเป็นคนนั้น บนพื้นหญ้าเขียวสด กำความหวังในใจใส่มือแน่น ปักหลักเต็มกำลังเท้า ซดน้ำค้างหยดสุดท้าย แม้ปากผมระแหงแห้งผาก "แต่ผมคือคนใหม่" 

เพราะความเชื่อ จึงพยายาม ความเชื่อเหมือนลูกธนูที่หลอมรวมตัวตนและกำลังทั้งสิ้นของเราไว้ในจุดเพียงจุดเดียว เข้มข้นในตัวเองพอที่จะทะลวงฝ่าไปทุกด่านความเจ็บปวด มันคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เชื่อว่ามีอยู่จริงแม้มองไม่เห็น

เพราะความเชื่อคนโบราณจึงสามารถส่งผ่านความหวังจากครั้งอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เราจึงสามารเห็นผลแห่งการกระทำอันประกอบไปด้วยความพากเพียรของเขาได้ด้วยสายตาของเรา มันทำให้บางสิ่งที่ไม่เคยปรากฏให้เห็น กลับสามารถเดินทางออกมาจากจินตนาการสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้ 

เพราะความเชื่อนี่เอง "เอดิสัน" ผู้ไม่เคยเห็นหลอดไฟ จึงสามารถประดิษฐ์มันขึ้นมา ... เพราะความเชื่อนี่เองเขาจึงพูดทุกครั้งเมื่อล้มเหลวว่า "เราแค่พบวิธีที่ผิดอีกหนึ่งวิธี เดี๋ยวเราจะเจอวิธีที่ถูกไม่ช้า"

มันคือความอดทนเพื่อบางสิ่งที่เราหวัง และมันทำให้สิ่งนั้นมีคุณค่า เพราะกว่าจะได้มามันมักอยากลำบาก ซึ่งการเดินในทุกก้าวของเรา บางครั้งเราอาจต้องใช้แรงที่มากกว่าคนอื่นบ้าง แต่แน่นอน ... เราไม่เคยถอดใจ

ไม่แน่เราอาจถึงก่อน ... ผมยิ้มเยาะเย้ยโชคชะตา ... หัวเราะที่ในความมืด

เวลากำลังผ่านไป แสงอรุณและฝนชอุ่มบนยอดหญ้ากำลังเดินทางมาแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น ...

อีกนิดเดียวเท่านั้น 

ผมศรัทธาในพระเจ้า ... คุณล่ะ ... จงศรัทธาในสิ่งที่คุณเชื่อและเดินต่อไป

ชะอำ ฉ่ำอุรา ... ตอนที่ ๓





บันทึกหก วันจันทร์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๔


ตะวันจรัสแสงทองริมเส้นขอบฟ้า คลับคล้ายที่เคยเห็นบนรถไฟ ต่างกันเพียงมันเป็นขาขึ้น นกเกเรร้องเพลงปลุกพวกเราอย่างไม่ไยดี "สุนทรียสนาทนา" เมื่อคืนทำเอาพวกเราต้องพลอยนอนดึกไปตามๆ กัน

ผมนอนคนสุดท้ายตีสามกว่าๆ เห็นจะได้ ... พื้นแข็งถูกปูไว้ด้วยผ้านวมต่างที่นอน เรานอนกันตรงพื้นบ้าน ยกเว้นผม เพราะพอหลังจากการสนทนาของผมกับไอเดีย เพื่อนๆ ก็ต่างพากันหลับจนหมดสิ้น ดันเว้นโซฟาแสนนุ่มนิ่มเอาไว้

เสร็จผมล่ะ ... ผมเคลิ้มหลับไปทันทีเพราะความอ่อนแรง

จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ เสียงระรัวเล่นลูกคอของนกกระจอกยังแว่วไปมา เท้าของผมจรดพื้นเย็นเฉียบของยามเช้า ทอดสายตามัวขี้ตาไปข้างหน้า ไอเดียกำลังนั่งทำงาน ความอัฉริยะของเขาไม่ใช่แค่พรสวรรค์แต่มันหมายรวมถึงการขวนขวาย "นาซ่าไม่ได้บังเอิญให้เกียรติบัตรเขาแน่ๆ"

ผมทอดสายตาไม่ทางอื่นบ้าง ฐาปะนีย์ กับ อ้อแฟนรักตื่นแล้ว เหลือเพียงบุคคลที่นอนคนแรก "ไอ้เต่า" มันยังคงอ้อยอิ่งอยู่ให้ห้วงนิทราอันแสนสงบ ความเกเรของเจ้านกตัวน้อยไม่ได้ผลเลยสักนิด ...

หลังจากที่เราใช้เวลาพักใหญ่ในการปลุกเจ้าคุณเต่าจากการพักสายตาครั้งใหญ่ เราทั้งห้าคนกับพ่อของไอเดียและแม่ของเราก็มานั่งทานข้าวด้วยกัน แต่แม่ของไอเดียมีธุระจึงจำเป็นต้องปล่อยพวกเราคุยกันต่อไปตามประสาเด็กๆ

"วันนี้ไปไหนดี" ฐาปะนีย์ถามชวน

"ไม่รู้ เค้าพาไปไหนก็ไป" เต่ากล่าว

"ผมตระหนักแล้วว่า แผนที่ดีที่สุด คือ ไม่ต้องมีแผน" ไอเดียเสริม

"เนอะ บางทีมันกดดัน" ฐาปะนีย์ว่าไป

"ทำไม่ได้แล้วมันเครียด" ผมขยี้ซ้ำ

พวกเรามองหน้ากัน พลางหัวเพราะอย่างสบายใจ แล้วก็ยุติเสียงพูดคุยไว้ด้วยข้าวมันไก้จากช้อนสแตนเลส ... พลางเคี้ยวพลางมองหน้าเพื่อนๆ มื้อนี้แม่ไอเดียเลี้ยงเราด้วยรอยยิ้ม

เสร็จจากมื้ออาหาร พวกเราถ่ายรูปกับแม่ของไอเดีย ที่โซฟาลายเสื้อหน้าบ้าน ก็มานั้งออกเสียงเมืองสำคัญต่างๆ ของโลกที่แปะเอาไว้ใต้เรือนนาฬากา เหมือนจะมีนาฬิกาหลายๆ เรือนเอาไว้เทียบเวลาของโลกแต่ละโซน บนฝาผนังบ้านด้านนอกสีน้ำตาลอ่อน

"กรีนนิช" เต่าออกเสียง

"ไม่ช่ายครับพี่" ไอเดียค้าน

"แล้วมันออกว่าไรวะ" เต่าสงสัย

"กรี ... นู ... วิช" ไอเดียฉายภาพแท้

"อ๋อๆ กรีนูวิช" พวกเราออกเสียงพร้อมกัน หัวเราะร่าต่อเนื่องมองหน้ากัน การเดินทางสู่เขาวังกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกในไม่ช้า ...

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ชะอำ ฉ่ำอุรา ... ตอนที่ ๒




บันทึกสี่ วันอาทิตย์ที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๔

รอยเท้านับสิบย่ำต่อกแต่กไปบนถนนร้างโล่ง "คงเป็นเพราะใกล้วันเลือกตั้งกระมั่ง" พวกเราตั้งข้อสังเกต เหตุด้วยการเมืองช่วงนี้ร้อนระอุดั่งดวงไฟที่แผดเผา แผ้วผลาญชีวิตของบรรดานักการเมืองในแถบถิ่นนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไปหลายรายแล้ว

"ชาวบ้านเขากลัวกันครับพี่" ไอเดียย้ำ

"แต่จริงๆ มันก็ไม่ได้มีมากนักหรอกนะครับ พวกนักการเมืองหัวรุ่นแรง เรื่องส่วนใหญ่จะคิดกันไปเอง"

ผมฟังด้วยความตั้งใจขณะที่ดวงไฟส่องทางค่อยๆ เลื่อนตัวผ่านหัวของเราไปตามระยะฝีก้าว อยากรู้เหลือเกินว่าทำไมรถราไม่ออกมาวิ่งกันเลย ที่เราเดินอยู่ก็ไม่ใช่ทางเท้าหากแต่เป็นพื้นผิวเดียวกันกับที่ล้อรถต้องนาบผิวสัมผัสทุกวัน

บอกตามตรง ผมไม่เคยเห็นภายที่ถนนไม่มีรถวิ่งมาก่อน เว้นเวลาที่มีขบวนเสด็จ ซึ่งสำหรับผมมันไม่แปลก ไม่น่าตื่นหูตื่นตาเลยสักนิด

"มันขนาดนั้นเลยเหรอ" ผมถามโพร่งออกไป

"เรื่องอะไรครับ" เดียถาม ดูเหมือนช่วงเวลาที่ผมจินตนาการถึงนักการเมืองพวกนั้น เพื่อนๆ คงคุยเรื่องอื่นกันไปไกลแล้ว

"เปล่า ไม่มีไรหรอก" ผมตอบ เพื่อนๆ หันหลังคุยกันต่ออย่างสนุกสนาน ผมก็พูดกับตัวเอง "ช่างมันเถอะ"

เดินต่อไปไม่ไกลนัก ผมเห็นสะพานข้ามแยกอยู่ด้านซ้ายมือ มันออกจะแปลกๆ

"เดีย ทำมั้นมันไม่ตัดตรงๆ วะ" ผมถาม เพราะสะพานนี้ตัดเหมือนจะเลี้ยวไปทางซ้าย แต่ก็วกกลับมา แถมตรงที่หักหลบไปก็ใช่ว่าจะต้องมีอะไรให้หักหลบ มันก็เป็นพื้นถนนปกติ แล้วมันจะหักหลบเพื่อ ???

"อ๋อ เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังนะครับ" เขาตอบ เพื่อนๆ ทุกคนก็อดสังเกตดูไม่ได้

"รอเข้าไปในบ้านก่อนนะครับ" ไอเดียย้ำ ผมเดินต่อไปสักพักขวามือเห็นซอยๆ หนึ่ง

"ถึงแล้วครับซอยบ้านผม" ไอเดียชี้มือบอกทาง

"เด๋วเราเดินตรงไป เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย แล้วก็ขวา" เขาพูดบอกทางอย่างละเอียดประหนึ่งเครื่องบอกทาง GPS แต่โดยสรุปคือมันไม่ไกลจากปากซอยมาก แต่ไม่มีทางเข้าตรงๆ ต้องเดินอ้อมไปมาจนรู้สึกว่าไกล "มันไกลขึ้นอีกมากเพราะหมาๆ ซอยนี้ไม่ค่อยชอบคนแปลกหน้าเอยซะเลย"

"ไม่มีทางที่เร็วกว่านี้เหรอวะ" เต่าถาม ...

"กูปวดขี้" เต่าพูดพลางกุมท้องบิดตัวไปมา

"ไปไหนปวดขี้ตลอดอ่ะมึง" ผมแซว เพื่อนพาหัวหัวเราะ ..

"ใช่ๆ คราวที่แล้วก็ทีนึง" อ้อพาเรารำลึก เสียงหัวเราะดังผ่านหูถึงรูลำไส้ของเต่า ... เราเดินมาถึงบ้านหลังหนึ่งสีน้ำตาลอ่อนๆ มีป้ายบอกชื่อบ้านชัดเจนว่า "IDIA" ถึงคราวสบายไอ้เต่ามันแล้ว อย่างนี้นี่เอง "สุขา"

เพราะความยากลำบากที่ผ่านมา ทำให้พื้นที่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ สามารถกลายเป็นสวรรค์ขึ้นมาได้ทันที

**********************************

บันทึกห้า วันอาทิตย์ที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๔

ประตูบ้านสีน้ำตาลเข้มกว่าผนังบ้าน และมันเหมือนบ้านอื่นๆ ที่กว่าจะเปิดประตูออก ต้องเรียกเจ้าของบ้านมาเปิด เพราะมันมักจะมีวิธีเปิดแบบพิสดารเสมอ ...

ไอเดียเปิดมันออกอย่างง่ายดายตามคาด แง้มประตูออกเผยให้เห็นบุคคลด้านใน เค้าดูสุภาพในบ้านที่เรียบร้อยเป็นระเบียบ สวมเสื้อยืดคอปกสีเขียวลายขวาง พลางรับไหว้จากพวกเราทุกคน ยกเว้นผม !!!

ทำไม ???

เพราะผมมัวแต่ยืนเหม่อ ... เพ้อในความเป็นระเบียบของบ้านหลังนี้ "ผมชอบมาก มันช่างเป็นระเบียบอะไรเช่นนี้นี่" สำหรับคนที่ชอบความเป็นระเบียบ บ้าความเรียบร้อยอย่างผม นี่คือสวรรค์ดีๆ นี่เอง ชั้นเจ็ดซะด้วย

"สวัสดีครับ" ผมออกเสียงผ่านการประนบก้มหัว ชายคนนั้นรับไหว้

"ท่านนี้ คือ พ่อผมเอง" ไอเดียแนะนำ

พวกเราพยายามพาที่หาทางนั่งจรดก้น ระวังเหลือเกินที่จะไม่เป็นส่วนรกของบ้าน แต่มันก็ยังดูรกในสายตามผมเหลือเกิน ผมคิดพลางมองเพื่อนๆ "เอ๊ะ ขาดไปหนึ่ง ... ไอ้เต่า"

ยังไม่ทันมักคุ้นเต่าก็เข้าห้องน้ำเขาแล้ว ... ไวจริง มันคงไปขอพ่อของไอเดียตอนผมกำลังเหม่อกระมัง ??

เรานั่งทำหน้าตั้งใจฟังสิ่งที่พ่อไอเดียเหมือนอยากจะบอกเรา แต่เขาก็ไม่พูดอะไรนอกจาก 

"มาที่นี่กันได้ยังไง ???" ซึ่งมันก็น่าสงสัยเพราะไม่มีการโทรบอกล่วงหน้า มันยากจะเชื่อว่าเราจะมาจริงๆ 

"พวกพี่ๆ สอนอะไรผมอย่างหนึ่ง คือ การว่างแผนที่ดีที่สุด นั้นคือการไม่ต้องว่างแผน" พวกเราหัวเราะเสียงดังที่สุดแบบที่ทำได้เมืออยู่ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ ... มันออกจะเกร็งๆ ที่มุมปากอยู่บ้าง 

พวกเราก็เล่าถึงที่มาว่าทำไมพวกเราถึงได้มาอยู่ที่นี่ แต่ใขณะที่กำลังเล่า ...

"แม่ไอเดียมาแล้ว"

ไอ้เต่าบอก ??? --- มันมาตอนไหน "ล้างตูดรึยังวะ" ผมสงสัย

พวกเราทำหน้าเรียบร้อยกลมกลืนไปกับบ้านพลายยิ้มดุจเป็นเจ้าบ้าน ฉันท์มิตรสุดๆ เท่าที่ทำได้ บ้านนี้มันช่างเรียบร้อยจริงๆ ให้ตายสิ !!!

"สวัสดีครับ - ค่ะ" เสียงจากมือประนมของเราร้องปาวไปในอากาศ

"จ่ะ" แม่ไอเดียตอบสั้นๆ ไอเดียแม่ขอคุยด้วยหน่อย !!

นั่นไงผมคิด ... คืนนี้นอนวัดแน่ !! แง่ลบฟุ้งซ่านไปใหญ่ พวกเราพลางมองลอกบ้านเกล็ดออกไป พ่อแม่ลูกกำลังคุยกัน พลางชี้มือบุ้ยไบ้ ไอเดียกำลังอธีบาย ท่ามกลางทำถามมากมายดูจเขื่อนแตก ...

แม่ไอเดียลุกขึ้นจากเก้าอี้ เปิดประตูเข้ามาคนแรก ยิ้มและกล่าวทักทาย ...

"มาๆ มาคุยกันหน่อย" เธอกล่าว "ไปมากันยังไงคะเนี่ย ???" เธอถาม

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ...

เรานั่งล้อมวงสนาทนากันอย่างติดลม ... หลายคำถาม ... ถูกตอบ ทั้งเรืองราวชีวิตของพวกเราแต่ละคน เรื่องการเดินทาง แม้กระทั่งความฝัน ... หรือสิ่งไร้สาระ มันทำให้ผมได้เรียนรู้จักเพื่อนๆ ของผม ในมุมที่ต่างออกไป

จากความไม่คุ้นชิน กลายเป็นมิตรภาพที่สวยงาม ผมมองย้อนกลับไปถ้าตอนนั้นไม่ตัดสินใจขึ้นรถไฟมา คงไม่มีวันรู้ว่าชีวิตคนเราสามารถทำอะไรได้มากจริงๆ แค่เราเปิดใจคุยกันก็มีสิ่งดีๆ ที่รอเราอยู่ ... คุ้มแล้วสำหรับชีวิตหนึ่งชีวิตของผม

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ชะอำ ฉ่ำอุรา ... ตอนที่ ๑



**********************************

ชะอม

ชะเอ่อเอิงเงย

ชะอุ๊ย

ชะอำ ....


โลกเต้นระรำบำ ข้างหน้า ...

คือรอยยิ้มของพวกเรา กลางท้องฟ้า

ชี้ชัด กำหนด โชคชะตา

ไม่ปล่อย อุรากังวล


เข็มนาฬิกา ที่เดินไป

หาทำให้ใจ เต้นช้าลง

จังหวะกลับเต้น ถี่ขึ้นในทุกวง

ทุกรอบ โมงหมุน ของเข็มเทาดำ


แว่วเสียงฉึกฉัก สะท้อน ไปตามราง

ล้อเหล็กหมุนคว้าง กลางราตรี

แหวกผ่านมวลอากาศ สู่เพชรบุรี ...

ที่นี่ เราสี่ นั่งเคียงกาย


หากถามคืนนี้นอนไหน

เราคงตอบไป ว่าไม่รู้ ...

เชื่อเพียงว่า คงมี ที่เราจะไปสู่

สักที่ ที่เรา "คุดคู้" ยามหลับตา


เดินทางย้ำศรัทธา

ว่าโลกนี้นั้นยิ่งใหญ่

ท้องฟ้า จรดผืนหญ้าทอดตัวไป

แค่ที่ว่าง สี่ที่ไซร้ ไฉนไม่มี ...


ชะอม

ชะเอ่อเอิงเงย

ชะอุ๊ย

ชะอำ .... ฉันเที่ยวชะอำ หาใช่ความบังเอิญ

**********************************



บันทึกแรก วันอาทิตย์ที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๔


ตึกตักฉึกฉัก เสียงล้อเหล็กกระทบผิวแข็งเกร็งของรางรถไฟ หัวใจของฉันเต้นระรัวไปเป็นจังหวะเดียวกัน หนทางข้างหน้ายังคงทอดตัวออกไกล ...

"ค่าตั๋วแปดสิบสี่บาทเอง" จากหัวลำโพงถึงเพชรบุรี

ตอนนี้บนตู้รถไฟเดียวกัน เราสี่คนต่างนั่งคนละเบาะ มันกว้างขวางยิ่งขึ้น เมื่อรถวิ่งไปข้างหน้า ผู้คนรอบกายต่างเก็บสัมภาระ ก้าวสั้นๆ ไปตามบันไดแคบ

ในใบตั๋วระบุชัด "เพชรบุรี" แต่แท้จริงเรายังไม่รู้เลย ... "จุดหมาย" ไม่แน่มันอาจเป็นแค่ทางผ่าน ...

โลกส่วนตัวในเบาะกว้างของพวกเราแต่ละคนดำเนินไปตามเสียงฉึกฉัก จินตนาการเริ่มขยับแข้งขา พาเรา "ฝัน" ไปต่างๆ นานา

เสียงระฆังดังแว่วมาตามระยะสถานี ระคนปนกับสายลมเอื่อยชวนอัดอั้น "ฝนไม่ตกซะที" ตะวันส้มเข้มคล้อยตัวลงต่ำริมเส้นขอบฟ้า

กลิ่นต้นหญ้าริมทางโชยผ่านบานหน้าต่างกว้าง ขณะฉันทอดสายตาออกไปข้างนอกอย่างไร้จุดหมาย ...

เสียงพูดจาของผู้คนเริ่มต่างสำเนียงออกไป บ้างถามสารทุกข์ บ้างเร่ขายของ มันเป็นชีวิตที่เหมือนว่าพวกเขากำลังนั่งคุยกันอยู่ในบ้าน ... ทั้งๆ ที่สถานที่แห่งนี้กำลัง "เคลื่อนไหว"

"น้ำเย็นมั้ยค๊าบ ... " เสียงหนึ่งร้องปาว ชายวัยกลางคนใส่เสื้อเก่าสีแดงเดินมาพลางหิ้วถังแช่เครื่องดื่ม แล้วฉันควรตอบเขาไหมนะ ???

"นั่นสิ ... เย็นมั้ยวะ" ฉันเอามือซุกลงต่ำ คลำขวดน้ำใต้เบาะ "ไม่ค่อยเท่าไหร่" ฉันตอบในใจ น่าแปลกที่คำถามง่ายๆ นี้กลับตีความได้มากกว่าหนึ่ง

"น้ำเย็นค๊าบ ... น้ำเย็นๆ " ชายขายเครื่องดื่มอีกคนตอบชายคนนั้นเฉยเลย ...

**********************************






บันทึกสอง วันอาทิตย์ที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๔


เบาะยาวตรงข้าม ยังคงว่างเปล่า อ้อแฟนรักทอดขาออกไปยาวเหยียดบนนั้น ระยะสถานีที่เราผ่านมากขึ้นตามลำดับ ฟ้างฟ้าข้างหน้ามืดดำ

เข้าสู่ยามค่ำคืน ...

กระนั้นเมฆสีทองอมฟ้าหมองๆ ยังคงหนาตัวอยู่มาก "เต่า" หนึ่งในเพื่อนของเราอาสาหาทีพักสำหรับราตรีนี้ เขาโทรศัพท์ไปหาคนรู้จักหลายคน ... แม้ล้มเหลวแต่ไม่เห็นแววตาลดละเลยแม้แต่น้อย เขายังคงเห็นมันเป็นสิ่งที่ท้าทาย ...

จนในที่สุดเราก็ได้ที่พักคือบ้านของเพื่อนคนหนึ่งชื่อ "ไอเดีย" เขาเป็นเด็กผู้ชายคราวน้องผู้มีรอยยิ้มเต็มใบหน้าเสมอ เป็นเพื่อนนิสัยดีอีกคนหนึ่งของเรา หากแต่เราไม่เคยรู้ว่าบ้านของเขาอยู่เพชรบุรีเลย

แต่พอนึกไปมากลับคิดถึงวลีคำสั้นของไอเดียได้ "ผม ... ของดีเมืองเพชร" อะไรสักอย่าง แสนเลือนลาง ทว่ามันเพียงพอที่เราต้องการ ดังนั้นจุดหมายปลายทางที่คลุมเครือจึงมุ่งหน้าไปบ้านไอเดียทันที ไปเยี่ยมเพื่อนนิสัยดีคนนี้ ...

"ได้เลยครับ ผมจะไปรอที่สถานีรถไฟ" ไอเดียตอบมาทางโทรศัพท์ เขามีน้ำใจอย่างไรที่ค่ายวันนั้น วันนี้เขาก็ไม่เปลี่ยนไป น้ำชุ่มในใจยังคงมีเต็มเปี่ยมล้น

คืนนี้เราได้ที่สำหรับปลดเปลื้องความเหนื่อยล้า ... แต่ตอนนี้บนรถไฟเรายังต้องเดินทางอีกไกลโขทีเดียว

ระหว่างทางเราหิวก็มีก๋วยเตี๋ยวรถไฟสิบบาทประทังท้อง อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ... แต่เรื่องจริง เส้นเล็กแห้งกับตะเกียบเรียวเล็กที่ถูกบรรจงเหลามาอย่างดีช่างน่าประทับใจ ผมยิ้มละไม ทานก๋วยเตี๋ยวท่ามกลางเสียงสรวลเสของเพื่อนผอง "ความสุขในอิสระเป็นแบบนี้นี่เอง"

เมื่อยามเราปล่อยให้ธารน้ำใจไหลรินมารวมกันนั้น

มันจักกลายเป็นมหานทียิ่งใหญ่ ...

ห้วงธาราจักไหลเลี้ยงฝูงมัจฉาใหญ่น้อย กระทั่งดินริมตลิ่งยังยินดี




**********************************

บันทึกสาม วันอาทิตย์ที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๔


เราเดินทางมาถึง "เพชรบุรี" ราวสามทุ่ม ตามเข็มบอกเวลาสีเทาดำบนเรือนขาว ... ลงมีเพียงชั่วอึกใจเดียว ก็เห็นไอเดียมายืนรอรับ

แรกพวกเราสบตากัน ก็อดร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจไม่ได้ "เห๊ย ... เป็นไงบ้างวะ" ไอเดียยิ้มร่า กอดพวกเราแทนคำตอบทีละคน

เสื้อสีส้มของไอเดียเขียนตัวโตว่า "คิดให้ดี มีแต่ได้" มันเป็นถ้อยจารึกของ "ท่านพุทธาส" พระนักปฏิบัติ ปราชญ์คนหนึ่งที่ผมศรัทธา

เราเดินทอดน่องไปตามหนทางยามค่ำค่อนดึก ไฟตามถนนเปิดไปตามระยะก้าว สีส้มทาบทอลงบนพื้นคอนกรีต รถน้อย นานนักจะวิ่งผ่านมาสักคัน

"พี่ๆ กินอะไรมารึยังครับ" ไอเดียถาม

"กินมาบ้างแล้ว" อ้อตอบ

"เรากินเตี๋ยวรถไฟมา" เต่าเสริม

"งั้นเราไปกินข้าวมันไก่เจ้าอร่อยกัน" เดียสรุป ...

เราเปลี่ยนใจจากหมูกระทะ เป็นการกินข้าวมันไก่อย่างเรียบง่าย เพราะหนทางยามราตีนี้มันออกจะยามไกลเกินไปสำหรับการเดิน ระยะทางไปถึงที่พักก็ไม่ใช่น้อยๆ

"เดียมาไงอ่ะ" ผมถาม

"แม่มาส่งครับ" เขาตอบ ผมทำหน้าแปลกใจ ...

"แล้วแม่ไม่มารับเหรอ"

"ไม่ครับ" เขาตอบแต่ไม่ได้บอกว่าทำไม

"อืม" ผมไม่ถามต่อ ... จะเดินหรือวิ่งผมก็ไม่เกรงอยู่แล้วหนิ

ถึงร้านข้าวมันไก่ พวกเราก็สั่งไปตามความคุ้นชิว เต่ากับแม่ค้าคุยกันอย่างถูกคอ แต่ถูกใจหรือไม่หาได้รู้ แม่ค้าถามพวกเราระหว่างกินข้าว

"น้องไปอัพยาอะไรก่อนมานี้หรือเปล่า"

พวกเราคงตื่นเต้น และมีความสุขมากจนคนอื่นงง ดีใจนักที่ชีวิตหนึ่งได้มีช่วงเวลาแบบนี้ ว่าแล้วพอกินเสร็จก็จ่ายเงิน พลางหยิบของเพียงน้อยนิดเดินทางมุ่งหน้าบ้านไอเดีย ...

โปรดติดตามตอนต่อไป .

**********************************

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โลกในชาม (ใบ) เดียวกัน

"ในชามอาหารเรานี้มีความทุกข์อยู่มากหลาย"

ท่ามกลางไอระอุของหม้อเดือด เธอคนนั้นยังคงยืนลวกก๋วยเตี๋ยวด้วยท่าทีท้าทายต่อโชคชะตา "สายตามืดทึบ บอดสนิท" หากแต่เธอกลับเห็นภาพที่ต่างออกไป ...

ลูกชิ้นปลา ปลาหมึก เส้น หนังปลากรอบ ถูกเรียงอย่างเป็นระเบียบเท่าเทียมกันทุกอัน น้ำซุปจากหม้ออยู่ในชามในระดับเดียวกัน "เธอผ่านอะไรในชีวิตมาบ้างนะ" ผมคิด

คิดผ่านภาพรอยแผลน้ำร้อนลวกบนสองมือเธอในดวงตาของผม ...

หากเธอล้มลง คงต้องใช้แรงมากกว่าคนอื่นหลายเท่ากว่าจะลุกขึ้นมาได้ อะลองความเหนื่อยยากในวันเหล่านั้นพริ้วตัวและรวมเป็นหยดในเบ้าตาของเธอหรือไม่

ก่อก ... !!!

"ได้แล้วครับ อย่ากินเยอะนักนะวันนี้ เดี๋ยวเปลืองตัง" เด็กเซริ์ฟคราวพี่พูดเย้า

ผมปิดปากหัวเราะ ... ภวังค์สลายไปแล้ว

แต่ในละอองระอุแห่งความเหนื่อยยาก "เธอยิ้ม" ที่เราเย้ากัน

ผมมองลงไปในชามก๋วยเตี๋ยว ชดน้ำซุปเข้าไป น้ำตาไหลออกมาซึมตัวที่เบ้า ... รีบเช็ดก่อนจะละเลียดไปบนผิวแก้ม อารมณ์พรั่งพรูไปด้วยความสะเทือนสะท้านใจ พูดกับตัวเองว่า "จะเจออะไรก็ตาม ฉันจะไม่ยอมแพ้"

*****************************************

โลกใบเล็กในชามก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าสอนอีกบทเรียนกับฉัน

"หนังปลามาจากปลาที่ถูกเอาหนัง เนื้อปลามาจากปลาที่ถูกเอาเนื้อ ... ก๋าวเตี๋ยวประทังชีวิตมาจากชีวิต"

ในชามอาหารของผมมีความทุกข์ระทมของสรรพสิ่ง มีบางสิ่งเสียชีวิตรอดจากการเอาชีวิตรอดของ "เรา" ผมคิดต่อไปพลางนั่งมองก๋วยเตี๋ยวตรงหน้า ก่อนตักใส่ปากกินด้วยความหิว

"เราเบียดเบียนกันเสมอทั้งกับตัวเอง กับคนอื่น แม้กับสรรพสิ่ง" กว่าจะโตมาคงเบียดเบียบไปหลายชีวิต น่าแปลกที่ว่าโลกใบนี้เป็นอย่างไร มันกลับคล้ายๆ ชามก๋วยเตี๋ยวตรงหน้า ...

*****************************************

สรรพสิ่งเวียนวนไปมา บ้างเกิดขึ้นแทงยอดอ่อน

บ้างนอนในเปล ท่ามกลางเสียงเห่กล่อม

บ้างสุข บ้างทุกข์

แต่นี่คือชีวิต ....


ก้าวเท้าไปข้างหน้า รวมกำลังผ่านแววตา

แม้โชคชะตาไม่เป็นใจ 

แม้มองไม่เห็นทาง 

ก็จงรักษาความหวังเราไว้


จงศรัทธาในสิ่งที่เชื่ออย่างแน่วแน่

"อย่างยอมแพ้" จำไว้


จงอาศัยในโลกนี้ดุจที่พักชั่วคราว

จงอย่าเอา อย่าเบียดเบียนผู้อื่น

จงแบ่งปันสิ่งที่พอมีจะแบ่งปัน


จงอย่าสงวน "น้ำใจ"

อย่ารั้งมัน อย่าฉุดมันเอาไว้

จงปล่อยมันออกไปเหมือกวางผู้วัยฉกรรจ์

จงปล่อยมันทะยานเหมือนอินทรี


เพื่่อสิ่งเดียว ... "ลูกหลานของเรา"

"รอยยิ้มของเขาในวันข้างหน้า"

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เพลงรอยเท้าของจินตนาการ "สุนทรียกาญจน์"

เพลงรอยเท้าของจินตนาการ ตีคอร์ด "สุนทรียกาญจน์" by iam_kwamrak

เพลงรอยเท้าของจินตนาการ บอสซ่า "สุนทรียกาญจน์" by iam_kwamrak

------- (๑) -------


ท้องฟ้าสีคราม สดใส แผ่นดินยาวไกลข้างหน้า
ดอกไม้สวยงามเต้นระบำกับทุ่งหญ้า เกิดขึ้นมาได้อย่างไร



------- (๒) -------


ปลาวาฬ ที่พ่นน้ำขึ้นจนสูง กับสายรุ้งเหนือทะเล
โลกของปูท่ามกลางผืนทราย คือสิ่งที่ฉันยังแปลกใจ



------- (๓) -------


เปิดประตู ออกเดินทาง เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในโลกใบเดิม
กับคำถาม ที่ฉันยัง สงสัย



------- (๔) -------


โลกนี้มีอะไร ให้ศึกษาค้นหาตั้งมากมาย
ค้นพบและอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์
(สร้างสังคมให้งดงาม ด้วยวิทยาศาสตร์)


------- (๕) -------


ช่างคิดช่างสังเกต จากตำรา นั้นจะกลายเป็นเรื่องราว
จินตนาการ เริ่มขยับเท้า มีความรู้เป็นเพื่อนกัน ... ร่วมหนทาง

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หนึ่งใจเดียวกัน

แบ่งไม่ได้

เส้นบางเบา ที่ขีดแบ่ง บนแผนที่

ใช่จะแยก แผ่นดินนี้ ออกเป็นสอง

ใช่จะแยกความรู้สึก ในท่วงทำนอง

ที่ร่วมร้อง พ้องบรรเลง เพลงชาติไทย


แถบสามสี ที่แตกต่าง บนผืนผ้า

หาใช่ว่า ต้องแตกแยก แดกเดียดฉันท์

หากแต่เป็น ความสมัครสมาน บนพื้นผ้า แผ่นเดียวกัน

เป็นความฝัน ที่ทอดริ้ว ปลิวเสรี


เทียบไม่ได้


แว่วเสียงปืน วูบแสงเปรี้ยง สนั่นปั้ง

นั้นไม่ดัง เกินถ้อยกระซิบ รักข้างหู

ไม่สว่าง เท่าความหวัง ที่เพ่งดู

ไม่สะท้าน แม้ปู ที่ฝั่งทะเล


แม้พันล้าน คำยุยง ให้แตกแยก

ไม่ผิดแผก กับรอยแผล บนแผ่นหลัง

ไม่อาจเทียบ เพียงสักถ้อย "สามัคคี" ที่จีรัง

เปรียบดุจดัง หยดน้ำทิพย์ ชโลมรักษา


เลิกศรัทธาไม่ได้


สักวันหนึ่ง ในอณู ผืนแผ่นดิน

สามจังหวัด จะหอมกลิ่น แรงศรัทธา

บังเกิดต้นไม้ และมวล หมู่พฤกษา

มีต้นหญ้า คลุมหน้า วีระชน


สักวันหนึ่ง เสียงทะเลาะ จะเงียบหาย

เรื่องความตาย ข่าวร้าย จะหลบหนี

เพราะความศรัทธา ในหัวใจ คนไทยมี

มากกว่าแรง ต่อยตี นับหมื่นพัน


ไม่ใช่ ความกำยำ ที่มัดกร้าม

ไม่ใช่ ยามมีเงิน เท่าภูเขา

หากแต่เป็น แรงความรัก จากพวกเรา

ส่งถึงเขา ด้วยชีวิต ผ่านแววตา

ส่งถึงเขา ด้วยชีวิต ผ่านแววตา ...

ประทับใจ ... ที่หัวหิน



การเดินทางทำให้เราได้พบ ... กันและกัน

เกิดความผูกพันธ์

เกิดรอยยิ้ม เกิดเสียงหัวเราะ

บ้างนอนกรน บ้างนอนไม่หลับ บ้างชอบพูดจา


ฉากอาจเปลี่ยนไป หากแต่พวกเรายังเหมือนเดิม ...

***************************************

ฟากฟ้าสีครามลอยตัวอยู่ด้านนอกของบานกระจก ฉันมองเห็นถนนสีเทา ๆ เหยียดตัวออกยาว มันทอดไปข้างหน้า

"จุดหมายใต้ผืนฟ้าเดียวกันยังคงรอคอย"

เสียงเพลงของพี่แจ้ ดังโอ๊ย ๆ มาละลิ่ว ... "หวัดดีเธอชื่ออะไร" ล่องลอย ...

ฉันยิ้มและจรดสายตาเพื่อเฝ้ามองเข้าไปในช่วงเวลาวัยหนุ่มสาวของพวกเขา ต้นไม้ที่กำลังจะหยั่งรากลึก ดอกไม้ที่กำลังแย้มกลีบต่างเตรียมตัวที่จะเบ่งบาน เวลาของฉันหยุดนิ่งลงไป สิ่งนี้ใช่ความสุขหรือเปล่าฉันยังไม่แน่ใจ แค่ฉันไม่อยากผ่านมันไปเท่านั้นเอง ...

ล้อรถยังคงหมุนต่อไปเรื่อย ๆ บนถนนสายนี้ ... หลายคนอาจคิดว่าเรากำลังเดินทางไปข้างหน้า หากแต่สำหรับฉันแล้ว ภาพที่เห็นกลับต่างออกไป "เราไม่ได้ไปไหนเลย มันเหมือนเราวิ่งบนลู่วิ่งมากกว่า"

รถอยู่กับที่ โลกต่างหากที่ "หมุน" มันยังคงหมุนไปตามหน้าที่ของมัน หลายครั้งฉันคิด ... "การเดินทางคืออะไร" มันคือการละจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งหรือ ...

"ฉันว่ามันหาได้เป็นเช่นนั้น สำหรับฉันมัน คือ ใครบางคนบนลู่วิ่ง ใครบางคนที่วิ่งไปกับฉัน เราได้ผ่านอะไรไปด้วยกัน"

มันอาจเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นตา น่าจดเอาไว้เพื่อ "จำ" ไม่ว่าเราจะต้องเคลื่อนตัวเองไปข้างหน้าหรือไม่ ลึก ๆ มันปรารถนาที่จะ "หยุด" 

ที่ที่เราหยุดสำหรับฉันมันคือ "บ้าน" มันคือใครบางคนบนลู่วิ่ง ใครบางคนที่เดินทางไปกับเรา มันคือการหยุดใน "ความเคลื่อนไหวของสรรพสิ่ง"

มันคงเหมือนความอิ่มใจในความอิ่มท้องของพวกเราที่ร้านอาหาร ซึ่งแกงป่าอาจจะเผ็ดไปบ้าง แต่ฉันก็ไม่เห็นใครจะร้องไห้ ... กลับกันน้ำตามันไหลออกมาจากความยินดี กลับกันที่ร้านอาหารกลายเป็น "บ้าน" ของพวกเรา 

***************************************















ใครคนหนึ่งจุดประกายเรื่อยนี้ในใจของฉัน ... "พี่มุข" เจ้าของรีสอร์ทนามว่า "ปรารถนา" ภายใต้เสียงเอื้อนเอ่ยด้วยถ้อยคำละมุน ฉันกลับได้ยินคำพูดบางคำ "พี่มุขสอนฉันอยู่" ... สอนถึงการหยุดนิ่งสงบในความเคลื่อนไหว

แต่ใครอีกคนหนึ่งตอกน้ำด้วยเพลง animation "พี่แสตมป์" บอกฉันกลาย ๆ ผ่านบทเพลงว่า "สรรพสิ่งที่หยุดก็กำลังเคลื่อนไหวอยู่นะ ภายใต้ผิวหนังของสาววัยใสมีการเกิดแก่เจ็บตายของเซลทุกวินาที ..."

โอ้ ... แท้จริงการเคลื่อนไหวกับการหยุดนิ่งคือสิ่งเดียวกัน 

น่าแปลกที่สองสิ่งที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกลับกลายเป็นสิ่งเดี่ยวกัน แต่สิ่งที่คล้าย ๆ กันกลับไม่เหมือนกัน  

ฉันคิด ... มันคงคล้าย ๆ ที่เธอกับฉัน "เราต่างเป็นคนคนเดียวกันนั่นเอง"

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เพลงค้นพบ "สุนทรียกาญจน์"

ค้นพบ "สุนทรียกาญจน์" by iam_kwamrak

------- (๑) -------

วันนี้คืออนาคต เพราะวันนี้คือพรุ่งนี้ของเมื่อวาน

------- (๒) -------

วันเวลาที่เดินเข้ามา มันทำให้ฉันคิดอะไรมากมาย

เคยมีคนมาพูดกับฉัน มาพูดกับฉันให้ห่วงอนาคตที่โหดร้าย

------- (๓) -------

จนบางครั้งฉันหลงลืมไป กลับไปคิดในเรื่องที่ไม่ใช่

จนชีวิตไม่รู้จะอยู่ไหน ...

------- (๔) -------

บางเวลาเราอาจจะมองข้ามความสำคัญของใครบางคน

อันที่จริงบางเรื่องที่มันสำคัญและเป็นเหตุผลคือวันนี้ ...

------- (จบ) -------

หาใช่จำนวน ...

เกือบทุกคนมีเพลงเอ็มพีสามในมือถือ

เกือบทุกคนมีเพลง ...

แต่ไม่ใช่เกือบทุกคนที่จะมีบทเพลงของตัวเอง มันแค่ "บางคน"


เกือบทุกคนมีเพลงเอ็มพีสามในมือถือ

แต่น่าแปลกที่ถ้าเราเปิดพร้อม ๆ กันเราจะไม่ได้ยินอะไรเลย ..

ทั้ง ๆ มีท่วงทำนองมากมาย แต่เราต้องการแค่ "หนึ่ง"


หนึ่ง ที่เป็นกำลังให้เรายามเหงา

หนึ่ง ที่สื่อความหมายของใจ

หนึ่ง ที่ช่วยเราไว้จากชะตากรรมที่โหดร้าย ...