------- (๑) -------
ช่วงเวลาที่ฝนปลอย อาจเป็นช่วงเวลาที่ชาวนารอคอย
แต่ก็อาจเป็นเวลาเดียวกันกับช่วงเวลาที่ใครบางคน
ต้องกางร่มให้ชีวิต
ท้องฟ้าต้องเอาใจใคร ???
------- (๒) ------
แต่กระนั้น ท้องฟ้าก็ไม่เคยลังเลที่จะเลือก
มันก็คงจะมีสักวันที่ฉันจะร่าเริงใต้ฟ้าหม่นเทา
ไม่ใช่เพราะฟ้า
แต่เป็นฉันเอง ... ที่เลือก
------- (๓) ------
เมื่อผู้ถูกเลือก กลายเป็นผู้เลือก
อิสระภาพก็อยู่ไม่ไกล
ต้องไม่ลืมว่าเราเลือกได้
ไม่ต่างไปจากฟ้า ...
------- (๔) -------
ช่วงเวลาที่แดดโปรยละอองสีทอง
ฉันจะยิ้ม
ไม่ใช่เพราะฟ้า แต่เป็นฉันที่เลือก
เป็นฉันที่มีความสุขได้ แม้จะต้องหัวเราะพร้อมหลังน้ำตา
วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
มือของเธอกับฉัน ที่เกี่ยวกัน
------- (๑) -------
กาลครั้งหนึ่ง เธอเคยจับมือของฉัน ... ไม่นานหลังจากนั้น ... เธอก็ปล่อย
ฉันมีแต่คำถาม ... แต่มันไร้คำตอบ
ความสับสนท่วมท้น ... ดังภูผา
ตระหง่าน สูงชัน มองจนสุดกลีบเมฆ ยังไม่เห็นยอด
------- (๒) -------
หากฉันจะปีนภูเขาสักลูก ... คงต้องเป็นลูกนี้
ลูกอื่นปีนง่าย ... สวยงาม ... ฉันไม่ปีน
บุรุษตั้งใจแล้ว ... ย่อมต้องทำให้สำเร็จ
สัญญาแล้วต้องไม่สัตย์ ... รักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรี
------- (๓) -------
เอื้อมมือที่อ่อนแรง ปีนภูผาดำทมึน
เลือดไหนซึมออกมา ยิ่งสูง ยิ่งอันตราย
หลายคนเลือกปล่อยมือ
แต่ฉันกลับบีบมือที่ชุมด้วยเลือดจนแน่น
ยิ่งสูง ยิ่งท้าทาย ยิ่งต้องทำให้ได้
------- (๔) -------
ฉันปีนต่อไป ผลจะเป็นอย่างไร ปลายทางอยู่ที่ไหน
ฉันไม่รู้
ภูเขาแห่งความสับสน ฉันยังคงตั้งใจพิชิต
เอ่ยชื่อของมันทุกครั้งที่หายใจ
------- (๕) -------
สักวันมือของเธอกับฉัน จะกลับมาเกี่ยวกัน
แม้ยาก แต่ฉันจะทำมันให้จงได้
จงคอยดู
วันนั้น เธอจะยอมรับฉัน เธอจะคิดถึงฉัน
ในห้วงแห่งหัวใจของเธอ
จะมีฉันในความทรงจำของเธอ ...
กาลครั้งหนึ่ง เธอเคยจับมือของฉัน ... ไม่นานหลังจากนั้น ... เธอก็ปล่อย
ฉันมีแต่คำถาม ... แต่มันไร้คำตอบ
ความสับสนท่วมท้น ... ดังภูผา
ตระหง่าน สูงชัน มองจนสุดกลีบเมฆ ยังไม่เห็นยอด
------- (๒) -------
หากฉันจะปีนภูเขาสักลูก ... คงต้องเป็นลูกนี้
ลูกอื่นปีนง่าย ... สวยงาม ... ฉันไม่ปีน
บุรุษตั้งใจแล้ว ... ย่อมต้องทำให้สำเร็จ
สัญญาแล้วต้องไม่สัตย์ ... รักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรี
------- (๓) -------
เอื้อมมือที่อ่อนแรง ปีนภูผาดำทมึน
เลือดไหนซึมออกมา ยิ่งสูง ยิ่งอันตราย
หลายคนเลือกปล่อยมือ
แต่ฉันกลับบีบมือที่ชุมด้วยเลือดจนแน่น
ยิ่งสูง ยิ่งท้าทาย ยิ่งต้องทำให้ได้
------- (๔) -------
ฉันปีนต่อไป ผลจะเป็นอย่างไร ปลายทางอยู่ที่ไหน
ฉันไม่รู้
ภูเขาแห่งความสับสน ฉันยังคงตั้งใจพิชิต
เอ่ยชื่อของมันทุกครั้งที่หายใจ
------- (๕) -------
สักวันมือของเธอกับฉัน จะกลับมาเกี่ยวกัน
แม้ยาก แต่ฉันจะทำมันให้จงได้
จงคอยดู
วันนั้น เธอจะยอมรับฉัน เธอจะคิดถึงฉัน
ในห้วงแห่งหัวใจของเธอ
จะมีฉันในความทรงจำของเธอ ...
วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
เอรี่ ตอนที่ ๒ ไล่ล่า
------- (๑) -------
ช่วงเวลาที่เราเสียใครสักคนหนึ่งไป
ช่วงเวลาที่เข็มนาฬิกากระดิก จากเลขตัวหนึ่งไปยังอีกตัว
เชื่องช้า ... และทรมาน
เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่น้ำใสๆ ไหลจากขอบตาถึงแก้ม
------- (๒) -------
ความอึดอัดและกดดันภายใน ... ช่างร้ายกาจ
รอยยิ้มที่สูญสลายไปกับการร้องไห้ ... สะอื้น
เมื่อใครคนนั้นปล่อยมือ ... เขาจะไม่กลับมา
และตรงนี้ ก็เหลือเพียงฉัน ... ที่ต้องยอมรับอย่างไม่มีทางเลี่ยง
------- (๓) -------
หน้าอกถึงแผ่นหลังสั่นสะท้าน
ระรัวไปด้วยคำคร่ำครวญ ... ในสิ่งที่อีกไม่นาน ก็จะกลายเป็นอดีต
ที่ผู้คนต่างลืม ...
หยดน้ำตาของฉัน ... ช่างไร้ค่า
------- (๔) -------
อยากเพียงมีใครสักคน ประคองกอดฉันเอาไว้ ...
------- (นับถอยหลัง // เอรี่ผู้ไม่แพ้) -------
ฉันกับพี่ชาย เราหลบไปเล่นด้วยกันที่สวนหลังบ้าน มันเป็นสวนสีเขียวระรื่น ชอุ่มชุ่มฉ่ำไปด้วยหยดน้ำจากสายฝน ที่เพิ่งจะตกลงมาไม่นาน อากาศหม่นๆ เช่นนี้ ชวนให้นอนเคลิ้ม วาดฝันไปต่างๆ นานา แต่เด็กน้อยแสนซนอย่างฉัน หาได้เป็นเช่นนั้น ...
"เอรี่ ตาน้องเป็นแล้ว" เอเดรี้ยน พี่ชายของฉันพูดอย่างอ่อนโยน
"หนูจะไปซ่อน ให้พี่หาไม่เจอเลยคอยดูสิ" เอรี่พูดพลางปั้นปึง
"พี่จับเธอได้ ตั้งแต่เธอยังไม่ไปซ่อนเลยด้วยซ้ำ" เขาท้าทายอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
แน่นอน มันจะเป็นอย่างนั้นทุกที อันที่จริงแล้ว ฉันเฝ้าคิดมาตลอด ว่าเขาน่าจะมีดวงตาวิเศษ ตาทิพย์ หรืออะไรทำนองนั้น เพราะไม่ว่าฉันจะไปหลบที่ไหน ลึกลับสักเท่าไหร่ เขาก็มักจะหาเจอได้ในทันที 'เกมนี้จึงเป็นเกมของเขา ที่ฉันไม่เคยชนะเลยสักครั้ง'
คราวนี้ ฉันคิดแผนปราบเซียนเอาไว้ เพื่อรับมือกับเขาโดยเฉพาะ เขาไม่มีทางที่จะหาฉันเจออย่างแน่นอน ต่อให้มีดวงตาวิเศษ หรือแม้แต่มีปีกบินได้ก็ตาม 'ฉันสัมผัสได้ถึงชัยชนะ ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเล่น ครั้งนี้มันจะเป็นเกมของฉันบ้าง'
"พี่จะนับแล้วนะ" เขาตะโกนลั่น
"เอาเลยๆ" ฉันส่งเสียงเจื้อยแจ้วกลับไป
ฉันวิ่งกลับไปที่บ้าน ผ่านถนนสีเทา รูปปั้นของเทพี และสระน้ำพุหิน ที่สลักรูปทวยเทพเอาไว้ เมื่อถึงประตูก็รีบเปิดเข้าไปทันที พ่อของฉันกำลังทำอาหารอยู่ในครัว ท่านหันมาส่งยิ้มให้ฉันด้วย ฉันตอบกลับไปด้วยการโบกมือถี่ๆ
ตึก ตึก ตึก --- !!
ฉันวิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นบน จินตนาการของฉันก็วิ่งหนีตะเลิดไปตามราวบันไดเช่นกัน ใบหน้าของเอเดรี้ยนตอนกำลังตกตะลึงจะเป็นยังไงนะ ฉันคิด พลางล้วงมือเขาไปในกระเป๋าสะพายสีชมพูใบน้อย ลูกกุญแจยังอยู่ดี 'จะมีใครจะรู้ ... หากฉันอยู่ในนั้น'
------- (การปรากฏตัวของอสูรกาย) -------
สายลมแรง พัดปะทะผิวหน้าของฉันหนักหน่วงยิ่งกว่าที่เคย ลูซี่เร่งความเร็วจนแถบทะลุไมล์ เข็มเล็กๆ ที่หน้าปัดค้างเต่ออยู่ที่เลขหลักสามร้อย เสียงเครื่องของรถมอเตอร์ไซค์คันงาม ดังกระหึ่มไปในอากาศ 'สั่นระรัวเหมือนใจของฉันตอนนี้'
ขณะพระอาทิตย์ยามสายทอแสงกล้า โปรยละอองอุ่นลงบนทุ่งหญ้าที่พร่ามัว เงาดำนับสิบเคลื่อนไหวตามมาข้างหลังอย่างกระชั้น ที่ความเร็วระดับนี้ ฉันไม่สามารถมองเห็นพวกมันได้อย่างถนัดตา 'รูปร่างของพวกมันยังคงเป็นปริศนา ที่คาใจ'
"เธอกำลังจะไปไหน" ฉันถาม ท่าทีของลูซี่นิ่งสงบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"โรงเรียน เราจะกลับไปตั้งหลักก่อน เอรี่ เกาะแน่นๆ นะ" ปากของเธอ มันขยับอย่างนั้น ฉันเห็นมันผ่านกระจกมองหลัง
ไม่ทันขาดคำ ลูซี่ก็เลี้ยวรถอย่างกระทันหันเข้ามาในตรอกแคบๆ แห่งหนึ่ง มันไม่ค่อยจะคุ้นตานัก คงจะเป็นทางที่ลัดไปโผล่ด้านหลังของโรงเรียนล่ะมั้ง นึกไม่ถึง ว่าจากภาพทิวทัศน์ของท้องทุ่งเมื่อกี๊ เพียงไม่กี่นาที ลูซี่ก็พาเราเข้าเมืองมาจนได้ เงาดำพวกนั้นหายไปแล้ว ... น่าแปลก ... พวกมันหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย คงไม่ได้ตามพวกเรามาไม่ทันหรอกนะ
"เหมือนที่เธอพูดไว้ เราต้องไปตั้งหลักที่โรงเรียนก่อน พวกมันคงจะไม่กล้าตามมา ถ้ามีคนเยอะๆ ล่ะมั้ง" ฉันคาดเดาให้เธอฟัง
"เธอเห็นมั้ยว่า พวกมันรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง" ลูซี่ถาม ดูเหมือนเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
"เป็นเงาดำ คล้ายๆ คน คือ ... แบบ ... ผู้หญิงน่ะ" ฉันตอบ
------- (มนต์สะกดของลูซี่) -------
เรามาถึงโรงเรียนในที่สุด จากทางลัดที่ลูซี่พาเราเข้ามา มันมาโผล่ที่ประตูเหล็กบานเล็กๆ ด้านหลังของโรงเรียน ซึ่งเป็นบริเวณที่รกร้าง ไร้ผู้คน เงาดำของอาคารเรียนนับสิบ ทาบทอลงจนเต็มพื้นที่แห่งนี้
"อืม ... เรารีบเข้าห้องเรียนก่อน แล้วค่อยว่ากัน" เธอจอดรถมอเตอร์ไซค์หลบมุมเอาไว้ ไม่ให้มีใครมาเห็น เราทั้งสอง สาวเท้า ก้าวอย่างกระชับฉับเฉง มุ่งหน้าไปยังห้องเรียนของเรา ถึงแม้ว่าเราจะไปสาย แต่ก็เป็นรอยต่อระหว่างคาบเรียนพอดี ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเราทั้งคู่มาสาย นอกจากมาร์เธอร์ประจำวิชาเท่านั้น ...
ระหว่างทาง ลูซี่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย ในเวลาเช่นนี้ เธอยังคงเงียบขรึม ฉันได้แต่มองไปยังใบหน้าของเธอ โดยที่ไม่พูดอะไรออกมาเช่นกัน ราวกับความฝัน ดวงตาของเธอช่างหมดจดงดงาม หวานละมุนละไม เจิดจรัสอยู่ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความสับสนเช่นนี้
'ท่วงทำนองในระยะก้าวของเธอ ละม้ายคล้ายมีมนต์สะกดอยู่ในทุกฝีเดิน มันช่างน่าหลงไหลเกินสรรหาถ้อยใดมาบรรยาย ขณะผมดำของเธอปลิวสลวยไปในอากาศ'
------- (มิติที่ลี้ลับ // กระดานดำที่เต็มไปด้วยคำถาม) -------
ฉันกับลูซี่ ตอนนี้เราทั้งคู่นั่งอยู่ในห้องเรียน ฉันนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างเช่นเคย สรุปว่าต้องกลับมาเรียนจนได้ ทั้งๆ ที่อุตส่าห์จะพาลูซี่ไปเที่ยวแท้ๆ เฮ้อ ... ฉันปล่อยมัน ให้ออกไปนอกบานหน้าต่าง 'ลมหายใจเซ็งๆ นั่น'
ระหว่างที่ฉันเฝ้าแต่ทอดถอนอารมณ์ผิดหวังปนสับสน ทอมก็มาพอดี เขาหอบหนังสือกองโตเข้ามาด้วย เขาช่าง ... ดู ... 'พะรุงพะรัง' ... แว่นตาหนาเตอะ กับเสื้อลายจุด ทำให้เขาเหมือนพวก 'สติเฟื่อง' หากมีใครสักคนบอกฉันว่า ที่จริงแล้ว เขามาจากต่างดาว ฉันคงต้องหลงเชื่อแน่ๆ
"วันนี้เราจะมาเรียนเรื่องยากๆ แบบง่ายๆ กัน" เขาวางกองหนังสือลงบนโต๊ะกลางห้อง พลางเอานิ้วขยับกระจกคู่หนา หน้าดวงตาของเขา
"หวังว่าทุกคน คงจะทำการบ้านที่ครูให้ไปเมื่อวานมา" เขาเดินไปมาหน้ากระดานดำ ในมือถือชอล์กสีขาวแท่งยาว ทอมตวัดมันไปมาอย่างคล่องแคล่ว พลางอธิบายเรื่องสมการอย่างออกรสชาติ
"หากเอาสมการที่หนึ่ง มาบวกกับสมการที่สอง ผลรวมของทั้งสองสมการ จะวิ่งเข้าหาค่าศูนย์ ดังนั้นคำตอบของสมการนี้ คือ" เขาหยุด พลางเอานิ้วขยับแว่น ให้ตาย ... เขามองมาที่ฉัน
"หนูฟังไม่ทันค่ะบลาเธอร์ ช่วยอธิบายอย่างช้าๆ อีกทีได้มั้ยคะ" ฉันรีบตอบปัดไป โถ่เอ๊ย ... ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้นะ ...
"เอาล่ะๆ เอาใหม่หมดเลยนะ" ทอมเริ่มต้นอธิบายจากฝั่งซ้ายของกระดานอีกครั้ง
"เอรี่เธอเห็นเหมือนฉันใช่มั้ย" ลูซี่ถามฉันเบาๆ
"ใช่ -- !! ไม่มีผิดแน่" ฉันตอบ
ที่บนกระดาน พวกเราไม่ได้เห็นเพียงแค่ตัวเลขขยุกขยุยของทอมเท่านั้น หากแต่เป็นภาพของนางเงือกนับสิบ พวกเธอต่างแหวกว่ายอยู่ในนั้น ไม่ต่างไปจากน้ำในทะเล หากมองลึกลงไป มันยิ่งลึกสุดหยั่ง 'คล้ายพื้นน้ำดิ่งดำไม่มีที่สิ้นสุด'
พวกเธอมีรูปร่างผอมแห้ง มีฟันคล้ายๆ กับใบเลื่อย มันเรียงแน่นอยู่ในปากที่ฉีกกว้างจนเกือบถึงหู เกล็ดปลาสีดำเรียงตัวยาวลงมาตลอดเรือนร่าง มันทอประกายระยับ ขณะพวกเธอโบกหางคลีบปลาไปมา
บรรดานางเงือกทุกตัวล้วนแล้วแต่มีดวงตาสีดำ ที่ทอประกายหม่นหมอง ผมยาวที่สยายไปรอบๆ นั่น ทำให้ภาพที่อยู่ตรงหน้า ดูสยดสยองและน่ากลัวขึ้นมาอย่างจับใจ 'น้ำใสๆ เริ่มไหลเปียก จากกระดานลงสู่พื้นห้อง ... เช่นเดียวกับฉัน ที่มันไหลจากขอบตา ถึงร่องแก้ม'
ช่วงเวลาที่เราเสียใครสักคนหนึ่งไป
ช่วงเวลาที่เข็มนาฬิกากระดิก จากเลขตัวหนึ่งไปยังอีกตัว
เชื่องช้า ... และทรมาน
เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่น้ำใสๆ ไหลจากขอบตาถึงแก้ม
------- (๒) -------
ความอึดอัดและกดดันภายใน ... ช่างร้ายกาจ
รอยยิ้มที่สูญสลายไปกับการร้องไห้ ... สะอื้น
เมื่อใครคนนั้นปล่อยมือ ... เขาจะไม่กลับมา
และตรงนี้ ก็เหลือเพียงฉัน ... ที่ต้องยอมรับอย่างไม่มีทางเลี่ยง
------- (๓) -------
หน้าอกถึงแผ่นหลังสั่นสะท้าน
ระรัวไปด้วยคำคร่ำครวญ ... ในสิ่งที่อีกไม่นาน ก็จะกลายเป็นอดีต
ที่ผู้คนต่างลืม ...
หยดน้ำตาของฉัน ... ช่างไร้ค่า
------- (๔) -------
อยากเพียงมีใครสักคน ประคองกอดฉันเอาไว้ ...
------- (นับถอยหลัง // เอรี่ผู้ไม่แพ้) -------
ฉันกับพี่ชาย เราหลบไปเล่นด้วยกันที่สวนหลังบ้าน มันเป็นสวนสีเขียวระรื่น ชอุ่มชุ่มฉ่ำไปด้วยหยดน้ำจากสายฝน ที่เพิ่งจะตกลงมาไม่นาน อากาศหม่นๆ เช่นนี้ ชวนให้นอนเคลิ้ม วาดฝันไปต่างๆ นานา แต่เด็กน้อยแสนซนอย่างฉัน หาได้เป็นเช่นนั้น ...
"เอรี่ ตาน้องเป็นแล้ว" เอเดรี้ยน พี่ชายของฉันพูดอย่างอ่อนโยน
"หนูจะไปซ่อน ให้พี่หาไม่เจอเลยคอยดูสิ" เอรี่พูดพลางปั้นปึง
"พี่จับเธอได้ ตั้งแต่เธอยังไม่ไปซ่อนเลยด้วยซ้ำ" เขาท้าทายอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
แน่นอน มันจะเป็นอย่างนั้นทุกที อันที่จริงแล้ว ฉันเฝ้าคิดมาตลอด ว่าเขาน่าจะมีดวงตาวิเศษ ตาทิพย์ หรืออะไรทำนองนั้น เพราะไม่ว่าฉันจะไปหลบที่ไหน ลึกลับสักเท่าไหร่ เขาก็มักจะหาเจอได้ในทันที 'เกมนี้จึงเป็นเกมของเขา ที่ฉันไม่เคยชนะเลยสักครั้ง'
คราวนี้ ฉันคิดแผนปราบเซียนเอาไว้ เพื่อรับมือกับเขาโดยเฉพาะ เขาไม่มีทางที่จะหาฉันเจออย่างแน่นอน ต่อให้มีดวงตาวิเศษ หรือแม้แต่มีปีกบินได้ก็ตาม 'ฉันสัมผัสได้ถึงชัยชนะ ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเล่น ครั้งนี้มันจะเป็นเกมของฉันบ้าง'
"พี่จะนับแล้วนะ" เขาตะโกนลั่น
"เอาเลยๆ" ฉันส่งเสียงเจื้อยแจ้วกลับไป
ฉันวิ่งกลับไปที่บ้าน ผ่านถนนสีเทา รูปปั้นของเทพี และสระน้ำพุหิน ที่สลักรูปทวยเทพเอาไว้ เมื่อถึงประตูก็รีบเปิดเข้าไปทันที พ่อของฉันกำลังทำอาหารอยู่ในครัว ท่านหันมาส่งยิ้มให้ฉันด้วย ฉันตอบกลับไปด้วยการโบกมือถี่ๆ
ตึก ตึก ตึก --- !!
ฉันวิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นบน จินตนาการของฉันก็วิ่งหนีตะเลิดไปตามราวบันไดเช่นกัน ใบหน้าของเอเดรี้ยนตอนกำลังตกตะลึงจะเป็นยังไงนะ ฉันคิด พลางล้วงมือเขาไปในกระเป๋าสะพายสีชมพูใบน้อย ลูกกุญแจยังอยู่ดี 'จะมีใครจะรู้ ... หากฉันอยู่ในนั้น'
------- (การปรากฏตัวของอสูรกาย) -------
สายลมแรง พัดปะทะผิวหน้าของฉันหนักหน่วงยิ่งกว่าที่เคย ลูซี่เร่งความเร็วจนแถบทะลุไมล์ เข็มเล็กๆ ที่หน้าปัดค้างเต่ออยู่ที่เลขหลักสามร้อย เสียงเครื่องของรถมอเตอร์ไซค์คันงาม ดังกระหึ่มไปในอากาศ 'สั่นระรัวเหมือนใจของฉันตอนนี้'
ขณะพระอาทิตย์ยามสายทอแสงกล้า โปรยละอองอุ่นลงบนทุ่งหญ้าที่พร่ามัว เงาดำนับสิบเคลื่อนไหวตามมาข้างหลังอย่างกระชั้น ที่ความเร็วระดับนี้ ฉันไม่สามารถมองเห็นพวกมันได้อย่างถนัดตา 'รูปร่างของพวกมันยังคงเป็นปริศนา ที่คาใจ'
"เธอกำลังจะไปไหน" ฉันถาม ท่าทีของลูซี่นิ่งสงบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"โรงเรียน เราจะกลับไปตั้งหลักก่อน เอรี่ เกาะแน่นๆ นะ" ปากของเธอ มันขยับอย่างนั้น ฉันเห็นมันผ่านกระจกมองหลัง
ไม่ทันขาดคำ ลูซี่ก็เลี้ยวรถอย่างกระทันหันเข้ามาในตรอกแคบๆ แห่งหนึ่ง มันไม่ค่อยจะคุ้นตานัก คงจะเป็นทางที่ลัดไปโผล่ด้านหลังของโรงเรียนล่ะมั้ง นึกไม่ถึง ว่าจากภาพทิวทัศน์ของท้องทุ่งเมื่อกี๊ เพียงไม่กี่นาที ลูซี่ก็พาเราเข้าเมืองมาจนได้ เงาดำพวกนั้นหายไปแล้ว ... น่าแปลก ... พวกมันหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย คงไม่ได้ตามพวกเรามาไม่ทันหรอกนะ
"เหมือนที่เธอพูดไว้ เราต้องไปตั้งหลักที่โรงเรียนก่อน พวกมันคงจะไม่กล้าตามมา ถ้ามีคนเยอะๆ ล่ะมั้ง" ฉันคาดเดาให้เธอฟัง
"เธอเห็นมั้ยว่า พวกมันรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง" ลูซี่ถาม ดูเหมือนเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
"เป็นเงาดำ คล้ายๆ คน คือ ... แบบ ... ผู้หญิงน่ะ" ฉันตอบ
------- (มนต์สะกดของลูซี่) -------
เรามาถึงโรงเรียนในที่สุด จากทางลัดที่ลูซี่พาเราเข้ามา มันมาโผล่ที่ประตูเหล็กบานเล็กๆ ด้านหลังของโรงเรียน ซึ่งเป็นบริเวณที่รกร้าง ไร้ผู้คน เงาดำของอาคารเรียนนับสิบ ทาบทอลงจนเต็มพื้นที่แห่งนี้
"อืม ... เรารีบเข้าห้องเรียนก่อน แล้วค่อยว่ากัน" เธอจอดรถมอเตอร์ไซค์หลบมุมเอาไว้ ไม่ให้มีใครมาเห็น เราทั้งสอง สาวเท้า ก้าวอย่างกระชับฉับเฉง มุ่งหน้าไปยังห้องเรียนของเรา ถึงแม้ว่าเราจะไปสาย แต่ก็เป็นรอยต่อระหว่างคาบเรียนพอดี ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเราทั้งคู่มาสาย นอกจากมาร์เธอร์ประจำวิชาเท่านั้น ...
ระหว่างทาง ลูซี่ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย ในเวลาเช่นนี้ เธอยังคงเงียบขรึม ฉันได้แต่มองไปยังใบหน้าของเธอ โดยที่ไม่พูดอะไรออกมาเช่นกัน ราวกับความฝัน ดวงตาของเธอช่างหมดจดงดงาม หวานละมุนละไม เจิดจรัสอยู่ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความสับสนเช่นนี้
'ท่วงทำนองในระยะก้าวของเธอ ละม้ายคล้ายมีมนต์สะกดอยู่ในทุกฝีเดิน มันช่างน่าหลงไหลเกินสรรหาถ้อยใดมาบรรยาย ขณะผมดำของเธอปลิวสลวยไปในอากาศ'
------- (มิติที่ลี้ลับ // กระดานดำที่เต็มไปด้วยคำถาม) -------
ฉันกับลูซี่ ตอนนี้เราทั้งคู่นั่งอยู่ในห้องเรียน ฉันนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างเช่นเคย สรุปว่าต้องกลับมาเรียนจนได้ ทั้งๆ ที่อุตส่าห์จะพาลูซี่ไปเที่ยวแท้ๆ เฮ้อ ... ฉันปล่อยมัน ให้ออกไปนอกบานหน้าต่าง 'ลมหายใจเซ็งๆ นั่น'
ระหว่างที่ฉันเฝ้าแต่ทอดถอนอารมณ์ผิดหวังปนสับสน ทอมก็มาพอดี เขาหอบหนังสือกองโตเข้ามาด้วย เขาช่าง ... ดู ... 'พะรุงพะรัง' ... แว่นตาหนาเตอะ กับเสื้อลายจุด ทำให้เขาเหมือนพวก 'สติเฟื่อง' หากมีใครสักคนบอกฉันว่า ที่จริงแล้ว เขามาจากต่างดาว ฉันคงต้องหลงเชื่อแน่ๆ
"วันนี้เราจะมาเรียนเรื่องยากๆ แบบง่ายๆ กัน" เขาวางกองหนังสือลงบนโต๊ะกลางห้อง พลางเอานิ้วขยับกระจกคู่หนา หน้าดวงตาของเขา
"หวังว่าทุกคน คงจะทำการบ้านที่ครูให้ไปเมื่อวานมา" เขาเดินไปมาหน้ากระดานดำ ในมือถือชอล์กสีขาวแท่งยาว ทอมตวัดมันไปมาอย่างคล่องแคล่ว พลางอธิบายเรื่องสมการอย่างออกรสชาติ
"หากเอาสมการที่หนึ่ง มาบวกกับสมการที่สอง ผลรวมของทั้งสองสมการ จะวิ่งเข้าหาค่าศูนย์ ดังนั้นคำตอบของสมการนี้ คือ" เขาหยุด พลางเอานิ้วขยับแว่น ให้ตาย ... เขามองมาที่ฉัน
"หนูฟังไม่ทันค่ะบลาเธอร์ ช่วยอธิบายอย่างช้าๆ อีกทีได้มั้ยคะ" ฉันรีบตอบปัดไป โถ่เอ๊ย ... ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้นะ ...
"เอาล่ะๆ เอาใหม่หมดเลยนะ" ทอมเริ่มต้นอธิบายจากฝั่งซ้ายของกระดานอีกครั้ง
"เอรี่เธอเห็นเหมือนฉันใช่มั้ย" ลูซี่ถามฉันเบาๆ
"ใช่ -- !! ไม่มีผิดแน่" ฉันตอบ
ที่บนกระดาน พวกเราไม่ได้เห็นเพียงแค่ตัวเลขขยุกขยุยของทอมเท่านั้น หากแต่เป็นภาพของนางเงือกนับสิบ พวกเธอต่างแหวกว่ายอยู่ในนั้น ไม่ต่างไปจากน้ำในทะเล หากมองลึกลงไป มันยิ่งลึกสุดหยั่ง 'คล้ายพื้นน้ำดิ่งดำไม่มีที่สิ้นสุด'
พวกเธอมีรูปร่างผอมแห้ง มีฟันคล้ายๆ กับใบเลื่อย มันเรียงแน่นอยู่ในปากที่ฉีกกว้างจนเกือบถึงหู เกล็ดปลาสีดำเรียงตัวยาวลงมาตลอดเรือนร่าง มันทอประกายระยับ ขณะพวกเธอโบกหางคลีบปลาไปมา
บรรดานางเงือกทุกตัวล้วนแล้วแต่มีดวงตาสีดำ ที่ทอประกายหม่นหมอง ผมยาวที่สยายไปรอบๆ นั่น ทำให้ภาพที่อยู่ตรงหน้า ดูสยดสยองและน่ากลัวขึ้นมาอย่างจับใจ 'น้ำใสๆ เริ่มไหลเปียก จากกระดานลงสู่พื้นห้อง ... เช่นเดียวกับฉัน ที่มันไหลจากขอบตา ถึงร่องแก้ม'
วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
เอรี่ ตอนที่ ๑ ความสัมพันธ์
------- (การมาเยือนของพระอาทิตย์ // ของขวัญของแม่ผู้จากไปแล้ว) -------
ความมืดดำอะไรกัน ฉันมองแทบไม่เห็น มันขัดกันกับเสียงนกร้องตรงนั้น นี่เช้า ค่ำ หรือกลางคืนอันแสนสงัดกันนะ ??
ฉันมองเห็นรอยแยกตรงกลางระหว่างเงามืดนั้น แสงสว่างลอดเข้ามาเพียงเล็กน้อย มันขยับไปมาเป็นจังหวะ ที่แท้ เป็นฉันบนเตียงนอน ให้ตายเถอะ ... จะกี่ครั้งก็ตาม ... ฉันก็่ไม่เคยคุ้นกับบรรยากาศหม่นๆ ของห้องนี้สักครั้ง ห้องนอนขนาดใหญ่ ที่มีแสงส่องเพียงสลัว ม่านลายโบราณสีทอง โต๊ะ เครื่องเรือน และเครื่องประดับอื่นๆ ในสมัยเดียวกัน พวกมันต่างทำให้ฉันหลงคิดว่า ตัวเองติดอยู่ในอีกโลกหนึ่งทุกที เฮ้ออออ ...
ฉันเดินไปไม่ไกลนัก พลางยื่นมือออกไป เลิกชายผ้าม่านขึ้น 'แสงสว่างจ๋า ... ได้โปรดเข้ามาขจัดความมืดมนออกไปด้วยเถอะนะ' หากไม่เปิดผ้าม่านหนาๆ นี้ มีหวังคงต้องอยู่ในห้องมืดนี้ไปอีกนาน นี่ก็ได้เวลาที่ฉันจะต้องเตรียมตัวไปโรงเรียนแล้ว ... สมุดบันทึกของฉันอยู่ตรงไหนน้าาา ... ??
ฉันเดินไปที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่ ติดกันกับบานหน้าต่าง เพื่อหาสมุดบันทึก ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงแล้ว มันสอดประกาย ลอดผ่านกระจกใสของบานหน้าต่่างเข้ามา นั่นไง ... ช่างอ้วนกลมดูน่าขันเสียยิ่งกระไร ... ฉันมองออกไปที่กลีบเมฆตรงปลายฟ้า สีม่วงค่อยๆ กลายเป็นสีส้มสลับคราม วันหนึ่งจะมีช่วงเวลานี้อยู่เพียงสิบห้านาทีเท่านั้น
'สวย งดงาม เหมือนเมื่อวาน ไม่เปลี่ยนไปเลยสักวัน ท้องฟ้ากับพระอาทิตย์อ้วนนี่เก่งเนอะ ซื่อสัตย์ มั่นคง ได้ไม่เปลี่ยนแปลง อดีตเป็นมาอย่างไร จวบปัจจุบันจนอนาคต ก็เป็นอย่างนั้น' ฉันส่งยิ้มหวาน
สมุดเล่มน้อยอยู่ในมือของฉันแล้ว มันมีหน้าปกสีขาว ถึงแม้จะเก่าไปบ้างตามกาลเวลา แต่ฉันก็รักษามันเป็นอย่างดี แม่ให้ฉันเป็นของขวัญ วันที่ฉันเกิด แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นหน้าท่านหรอกนะ ถึงวันนี้ ฉันยังจดไม่เต็มเล่ม เพราะฉันพยายามเขียนให้ตัวเล็กๆ เข้าไว้ 'วันหนึ่งหากเราได้เจอกัน ท่านจะได้รู้ว่าชีวิตของฉันที่ผ่านมาทำอะไรไปบ้าง ... ท่านคงจะบอกฉัน ที่อยู่ในอ้อมกอดของท่านว่า ฉันเป็นเด็กดี'
แน่นอนฉันจะเป็นเด็กดี จะไม่ทำเรื่อง ให้ท่านต้องหนักใจเลยแม้แต่น้อย ...
------- (ที่หน้ากระดาษ // ความทรงจำของฉัน) -------
ฉันก้าวเท้าเข้าไปในโลกระหว่างบรรทัด สมุดบันทึกตรงหน้า ดึงฉันให้ย้อนเวลาเข้าไปในโลกที่ปัจจุบันไม่อาจนิยาม ตัวของฉันเด็กลงมากทีเดียว แค่ห้าขวบเห็นจะได้ ... ชุดกระโปร่งสีขาว กับกระเป๋าสีชมพูสดใส ฉันจำมันได้ดีทีเดียว
วันนั้นเป็นวันที่แดดทอแสง สว่างจ้า ขณะที่ฉันมองออกไปยังด้านนอกของบานหน้าต่างบานนี้ รูปปั้นเทพี บ่อน้ำพุหิน และสวนเขียวขจีอยู่ใกล้นิดเดียว สำหรับฉันในตอนนั้นมันช่างกว่างใหญ่ ไม่ต่างจากผืนป่า
ผู้คนต่างเรียกที่นี่ว่าคฤหาสน์ คงเพราะมันเป็นบ้านหลังใหญ่ จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายนัก ฉันวิ่งเล่นจนครบแล้วทุกที่ จนพ่อกับพี่ชายของฉันตั้งฉายาให้ฉันว่า 'ยัยแผนที่'
โถ่เอ๊ย ! ใครจะหลงทางในบ้านตัวเองกันเล่า ...
แล้วฉันก็นึกอะไรสนุกๆ ออก แต่จะเล่นคนเดียวก็คงจะไม่สาแก่ใจ เอาล่ะ ... ไปชวนพี่มาเล่นด้วยกันดีกว่า มันต้องสนุกแน่ๆ เลย หิหิ
ฉันวิ่งด้วยขาซึ่งสั้นกว่าตอนนี้มาก ก้าวถี่ๆ ลงบันไดไปชั้นล่าง มันเป็นบันไดกว้างตรงกลางบ้าน หมุนวนลงไปจนถึงห้องโถง พี่ชายของฉันเขาอยู่ตรงนั้น ที่เปียโนสีดำเงา ฉันไม่แปลกใจ เพราะมันเป็นสถานที่เดียวนอกจากเตียงนอนของเขา ที่เขาชอบไปสิงสถิตย์
"เอเดรี้ยน พี่มาเล่นสนุกกับฉันมั้ย" ฉันส่งน้ำเสียงตื่นเต้น ให้ลอยละลิ่วไปก่อนตัวเสียอีก
"เด็กดี ... เล่นอะไรเหรอ" เขาถาม ออกมาดุจชายแก่ทั้งๆ ที่โตกว่าฉันแค่สามปี
ปึก --- !!
------- (สู่โรงเรียน) ------
ฉันปิดสมุดบันทึกลงอย่างรีบๆ เดินไปแต่งตัวที่หน้ากระจก 'เธอเป็นใครกันนะ ... เด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นหายไป กลายเป็นฉันที่ยืนอยู่ตรงนี้'
ฉันดูนาฬิกาที่ผนังห้อง กลัวเหลือเกินว่าฉันจะไปสาย ต้องรีบหน่อยแล้ว เดี๋ยวแม่นางลูซี่จะนั่งรอ ป่านนี้เธอคงมารับฉันแล้วละมั่ง ...
เธอเป็นเพื่อนของฉันเอง เรามักจะไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน บ้านของเธออยู่ฝั่งตรงข้าม คิดๆ ดูแล้ว ตั้งแต่เพื่อนกันมา ยังไม่เคยให้ของขวัญวันเกิดเธอเลยสักชิ้น ... น่าอายจัง ... แล้วมันก็ดันเป็นวันนี้ซะด้วยสิ
ฉันเริ่มนึกถึงกล่องของขวัญ ถามตัวเองว่าเธอชอบสีอะไร หรือกลิ่นแบบไหนที่เธอโปรด มีสถานที่เจ๋งๆ ที่ไหน ที่เธอยังไม่เคยไปมั้ย มือก็พลางก็หยิบชุดนักเรียนมาสวม กระโปรงกับเสื้อสูทสีเทา ถุงเท้ายาวๆ สีดำ ดูเคร่งขรึม นั่นแหละโรงเรียนของฉัน 'เชนต์ลูโอคอร์นเนีย'
แกร๊ก --- !!
ฉันปิดประตูห้อง สะพายกระเป๋า วิ่งลงบันไดกลางบ้าน ใต้ไฟระย้าอย่างรีบร้อน 'รอฉันแป๊ปหนึ่งนะ' ฉันคิด แต่ทันใดนั้นเอง เสียงเปียโนสุดแสนไพเราะก็ล่องลอยขึ้นมาในห้วงแห่งเสียววินาที มันฟุ้งไปในอากาศ ...
"ลูซี่ วันนี้โดดเรียนเป็นเพื่อนฉันวันหนึ่งนะ ฉันอยากไปเที่ยว" ฉันเอ่ยขอร้องอย่างสดชื่น หวังเต็มหัวใจว่าเธอจะตอบตกลง
"ไปสิ ... กำลังจะชวนเธอพอดีเลย" เธอตอบ รอยยิ้มสดใส แสนอ่อนโยน เจืออยู่ในใบหน้าของสาวหวานคนนี้ สวยหยดย้อยราวกับนางฟ้า ท่ามกลางลำแสงสีทองของดวงตะวันยามเช้า
------- (แทนใจของฉัน // รอยิ้มในสายลม) --------
ถนนสีเทา ทอดตัวออก ยาวไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ...
บรื้นนน --- !!
มอเตอร์ไซค์สี่สูบสีดำ แหวกว่ายผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวและเปลวฝุ่นแห่งการเดินทาง ฉันซ้อนอยู่เบื้องหลังของลูซี่ ยามเธอสวมเสื้อหนังสีแดง เธอดูเท่ขึ้นมามาก ดุจกลายเป็นคนละคนกับสาวหวานที่ฉันเจอในทุกๆ เช้า
เธอทะมัดทะแมง มั่นใจ แม้สวมเพียงกระโปรงนักเรียน กับเสื้อสีแดงตัวเก่ง
บนความเร็วเช่นนี้ ทุกสิ่งกลับเชื่องช้าดุจหยุดนิ่ง เหมือนเป็นโลกนี้ ที่วิ่งผ่านวงล้อของเราไป วินาทีช่างยาวนาน การที่ฉันมีเพื่อนที่รู้ใจ คงเปรียบเหมือนพรวิเศษ ... ชื่นใจจริงๆ ที่ฉันมีเธอ 'ลูซี่'
ฉันโอบมือ ที่เดิมอยู่ที่เอวของเธอให้แน่นขึ้นอีกนิด พลางยิ้มละมุน ... "สุขสันต์วันเกิดนะ"
"ขอบใจนะ ... เอรี่" เธอตอบ พลางส่งยิ้มหวานมาตามสายลม ฉันเห็นมันที่กระจกมองหลัง
"ท่าทางถนนสายนี้ คงไม่ได้มีแค่เราสองคนแล้วล่ะ ... เธอเห็นเหมือนที่ฉันเห็นมั้ยเอรี่" ลูซี่เปลี่ยนสีหน้าอย่างกระทันหัน แม้ฉันยังไม่เข้าใจอะไรนัก แต่บางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น ...
ความมืดดำอะไรกัน ฉันมองแทบไม่เห็น มันขัดกันกับเสียงนกร้องตรงนั้น นี่เช้า ค่ำ หรือกลางคืนอันแสนสงัดกันนะ ??
ฉันมองเห็นรอยแยกตรงกลางระหว่างเงามืดนั้น แสงสว่างลอดเข้ามาเพียงเล็กน้อย มันขยับไปมาเป็นจังหวะ ที่แท้ เป็นฉันบนเตียงนอน ให้ตายเถอะ ... จะกี่ครั้งก็ตาม ... ฉันก็่ไม่เคยคุ้นกับบรรยากาศหม่นๆ ของห้องนี้สักครั้ง ห้องนอนขนาดใหญ่ ที่มีแสงส่องเพียงสลัว ม่านลายโบราณสีทอง โต๊ะ เครื่องเรือน และเครื่องประดับอื่นๆ ในสมัยเดียวกัน พวกมันต่างทำให้ฉันหลงคิดว่า ตัวเองติดอยู่ในอีกโลกหนึ่งทุกที เฮ้ออออ ...
ฉันเดินไปไม่ไกลนัก พลางยื่นมือออกไป เลิกชายผ้าม่านขึ้น 'แสงสว่างจ๋า ... ได้โปรดเข้ามาขจัดความมืดมนออกไปด้วยเถอะนะ' หากไม่เปิดผ้าม่านหนาๆ นี้ มีหวังคงต้องอยู่ในห้องมืดนี้ไปอีกนาน นี่ก็ได้เวลาที่ฉันจะต้องเตรียมตัวไปโรงเรียนแล้ว ... สมุดบันทึกของฉันอยู่ตรงไหนน้าาา ... ??
ฉันเดินไปที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่ ติดกันกับบานหน้าต่าง เพื่อหาสมุดบันทึก ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงแล้ว มันสอดประกาย ลอดผ่านกระจกใสของบานหน้าต่่างเข้ามา นั่นไง ... ช่างอ้วนกลมดูน่าขันเสียยิ่งกระไร ... ฉันมองออกไปที่กลีบเมฆตรงปลายฟ้า สีม่วงค่อยๆ กลายเป็นสีส้มสลับคราม วันหนึ่งจะมีช่วงเวลานี้อยู่เพียงสิบห้านาทีเท่านั้น
'สวย งดงาม เหมือนเมื่อวาน ไม่เปลี่ยนไปเลยสักวัน ท้องฟ้ากับพระอาทิตย์อ้วนนี่เก่งเนอะ ซื่อสัตย์ มั่นคง ได้ไม่เปลี่ยนแปลง อดีตเป็นมาอย่างไร จวบปัจจุบันจนอนาคต ก็เป็นอย่างนั้น' ฉันส่งยิ้มหวาน
สมุดเล่มน้อยอยู่ในมือของฉันแล้ว มันมีหน้าปกสีขาว ถึงแม้จะเก่าไปบ้างตามกาลเวลา แต่ฉันก็รักษามันเป็นอย่างดี แม่ให้ฉันเป็นของขวัญ วันที่ฉันเกิด แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นหน้าท่านหรอกนะ ถึงวันนี้ ฉันยังจดไม่เต็มเล่ม เพราะฉันพยายามเขียนให้ตัวเล็กๆ เข้าไว้ 'วันหนึ่งหากเราได้เจอกัน ท่านจะได้รู้ว่าชีวิตของฉันที่ผ่านมาทำอะไรไปบ้าง ... ท่านคงจะบอกฉัน ที่อยู่ในอ้อมกอดของท่านว่า ฉันเป็นเด็กดี'
แน่นอนฉันจะเป็นเด็กดี จะไม่ทำเรื่อง ให้ท่านต้องหนักใจเลยแม้แต่น้อย ...
------- (ที่หน้ากระดาษ // ความทรงจำของฉัน) -------
ฉันก้าวเท้าเข้าไปในโลกระหว่างบรรทัด สมุดบันทึกตรงหน้า ดึงฉันให้ย้อนเวลาเข้าไปในโลกที่ปัจจุบันไม่อาจนิยาม ตัวของฉันเด็กลงมากทีเดียว แค่ห้าขวบเห็นจะได้ ... ชุดกระโปร่งสีขาว กับกระเป๋าสีชมพูสดใส ฉันจำมันได้ดีทีเดียว
วันนั้นเป็นวันที่แดดทอแสง สว่างจ้า ขณะที่ฉันมองออกไปยังด้านนอกของบานหน้าต่างบานนี้ รูปปั้นเทพี บ่อน้ำพุหิน และสวนเขียวขจีอยู่ใกล้นิดเดียว สำหรับฉันในตอนนั้นมันช่างกว่างใหญ่ ไม่ต่างจากผืนป่า
ผู้คนต่างเรียกที่นี่ว่าคฤหาสน์ คงเพราะมันเป็นบ้านหลังใหญ่ จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายนัก ฉันวิ่งเล่นจนครบแล้วทุกที่ จนพ่อกับพี่ชายของฉันตั้งฉายาให้ฉันว่า 'ยัยแผนที่'
โถ่เอ๊ย ! ใครจะหลงทางในบ้านตัวเองกันเล่า ...
แล้วฉันก็นึกอะไรสนุกๆ ออก แต่จะเล่นคนเดียวก็คงจะไม่สาแก่ใจ เอาล่ะ ... ไปชวนพี่มาเล่นด้วยกันดีกว่า มันต้องสนุกแน่ๆ เลย หิหิ
ฉันวิ่งด้วยขาซึ่งสั้นกว่าตอนนี้มาก ก้าวถี่ๆ ลงบันไดไปชั้นล่าง มันเป็นบันไดกว้างตรงกลางบ้าน หมุนวนลงไปจนถึงห้องโถง พี่ชายของฉันเขาอยู่ตรงนั้น ที่เปียโนสีดำเงา ฉันไม่แปลกใจ เพราะมันเป็นสถานที่เดียวนอกจากเตียงนอนของเขา ที่เขาชอบไปสิงสถิตย์
"เอเดรี้ยน พี่มาเล่นสนุกกับฉันมั้ย" ฉันส่งน้ำเสียงตื่นเต้น ให้ลอยละลิ่วไปก่อนตัวเสียอีก
"เด็กดี ... เล่นอะไรเหรอ" เขาถาม ออกมาดุจชายแก่ทั้งๆ ที่โตกว่าฉันแค่สามปี
ปึก --- !!
------- (สู่โรงเรียน) ------
ฉันปิดสมุดบันทึกลงอย่างรีบๆ เดินไปแต่งตัวที่หน้ากระจก 'เธอเป็นใครกันนะ ... เด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นหายไป กลายเป็นฉันที่ยืนอยู่ตรงนี้'
ฉันดูนาฬิกาที่ผนังห้อง กลัวเหลือเกินว่าฉันจะไปสาย ต้องรีบหน่อยแล้ว เดี๋ยวแม่นางลูซี่จะนั่งรอ ป่านนี้เธอคงมารับฉันแล้วละมั่ง ...
เธอเป็นเพื่อนของฉันเอง เรามักจะไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน บ้านของเธออยู่ฝั่งตรงข้าม คิดๆ ดูแล้ว ตั้งแต่เพื่อนกันมา ยังไม่เคยให้ของขวัญวันเกิดเธอเลยสักชิ้น ... น่าอายจัง ... แล้วมันก็ดันเป็นวันนี้ซะด้วยสิ
ฉันเริ่มนึกถึงกล่องของขวัญ ถามตัวเองว่าเธอชอบสีอะไร หรือกลิ่นแบบไหนที่เธอโปรด มีสถานที่เจ๋งๆ ที่ไหน ที่เธอยังไม่เคยไปมั้ย มือก็พลางก็หยิบชุดนักเรียนมาสวม กระโปรงกับเสื้อสูทสีเทา ถุงเท้ายาวๆ สีดำ ดูเคร่งขรึม นั่นแหละโรงเรียนของฉัน 'เชนต์ลูโอคอร์นเนีย'
แกร๊ก --- !!
ฉันปิดประตูห้อง สะพายกระเป๋า วิ่งลงบันไดกลางบ้าน ใต้ไฟระย้าอย่างรีบร้อน 'รอฉันแป๊ปหนึ่งนะ' ฉันคิด แต่ทันใดนั้นเอง เสียงเปียโนสุดแสนไพเราะก็ล่องลอยขึ้นมาในห้วงแห่งเสียววินาที มันฟุ้งไปในอากาศ ...
"ลูซี่ วันนี้โดดเรียนเป็นเพื่อนฉันวันหนึ่งนะ ฉันอยากไปเที่ยว" ฉันเอ่ยขอร้องอย่างสดชื่น หวังเต็มหัวใจว่าเธอจะตอบตกลง
"ไปสิ ... กำลังจะชวนเธอพอดีเลย" เธอตอบ รอยยิ้มสดใส แสนอ่อนโยน เจืออยู่ในใบหน้าของสาวหวานคนนี้ สวยหยดย้อยราวกับนางฟ้า ท่ามกลางลำแสงสีทองของดวงตะวันยามเช้า
------- (แทนใจของฉัน // รอยิ้มในสายลม) --------
ถนนสีเทา ทอดตัวออก ยาวไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ...
บรื้นนน --- !!
มอเตอร์ไซค์สี่สูบสีดำ แหวกว่ายผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวและเปลวฝุ่นแห่งการเดินทาง ฉันซ้อนอยู่เบื้องหลังของลูซี่ ยามเธอสวมเสื้อหนังสีแดง เธอดูเท่ขึ้นมามาก ดุจกลายเป็นคนละคนกับสาวหวานที่ฉันเจอในทุกๆ เช้า
เธอทะมัดทะแมง มั่นใจ แม้สวมเพียงกระโปรงนักเรียน กับเสื้อสีแดงตัวเก่ง
บนความเร็วเช่นนี้ ทุกสิ่งกลับเชื่องช้าดุจหยุดนิ่ง เหมือนเป็นโลกนี้ ที่วิ่งผ่านวงล้อของเราไป วินาทีช่างยาวนาน การที่ฉันมีเพื่อนที่รู้ใจ คงเปรียบเหมือนพรวิเศษ ... ชื่นใจจริงๆ ที่ฉันมีเธอ 'ลูซี่'
ฉันโอบมือ ที่เดิมอยู่ที่เอวของเธอให้แน่นขึ้นอีกนิด พลางยิ้มละมุน ... "สุขสันต์วันเกิดนะ"
"ขอบใจนะ ... เอรี่" เธอตอบ พลางส่งยิ้มหวานมาตามสายลม ฉันเห็นมันที่กระจกมองหลัง
"ท่าทางถนนสายนี้ คงไม่ได้มีแค่เราสองคนแล้วล่ะ ... เธอเห็นเหมือนที่ฉันเห็นมั้ยเอรี่" ลูซี่เปลี่ยนสีหน้าอย่างกระทันหัน แม้ฉันยังไม่เข้าใจอะไรนัก แต่บางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น ...
เรื่องเล่า ... เช้านี้
ตื่นนอนมาในเวลาสายของใครบางคน สำหรับผมมันเป็นเวลาเช้า สิ่งแรกที่ทำวันนี้ คือ จัดการกับพม่ารามัญ ที่ยกทัพมาตีกรุงศรีฯ หวังใจว่าจะต้องปกป้องเอกราชของราชธานีเอาไว้ให้จงได้
"จ๋อม" การโจมตีระลอกแรกเริ่มต้นขึ้นแล้ว เมื่อหน่วยทะลวงฟันพยายามแหกด่านเจดีย์สามองค์เข้ามา ... อือ ฮืม ...
จ๋อม จ๋อม --- !!
ข้าศึกกรีฑาทัพ โอบกระหนาบกรุงแล้ว ... อ้า ...
จ๋อม --- !!
ท่าทางครั้งนี้เราจะมี 'ไส้ศึก' ไฟเริ่มไหม้ ให้ตายมันจุดไฟเผากรุงหรือนี่ แสบรูประตูไปหมดแล้ววว ... อูสสส !!!
เวลาผ่านไปไม่นาน กรุงศรีฯ เสียหายหนักอย่างไม่น่าเชื่อ ... พวกหมู่พม่าที่เหิมเกริมเริ่มหยุดคึก พวกมันระดมพลมากมายดุจสายน้ำหลาก ไหลบ่าเข้ากรุงมาทุกด่านประตู ...
จ๋อม จ๋อม --- !! พวกมันก็ทำสำเร็จ ... อ้าาา ...
ผมกดน้ำ ... ส่งพม่ากลับไปในกาลอดีตอีกครั้ง ...
"จ๋อม" การโจมตีระลอกแรกเริ่มต้นขึ้นแล้ว เมื่อหน่วยทะลวงฟันพยายามแหกด่านเจดีย์สามองค์เข้ามา ... อือ ฮืม ...
จ๋อม จ๋อม --- !!
ข้าศึกกรีฑาทัพ โอบกระหนาบกรุงแล้ว ... อ้า ...
จ๋อม --- !!
ท่าทางครั้งนี้เราจะมี 'ไส้ศึก' ไฟเริ่มไหม้ ให้ตายมันจุดไฟเผากรุงหรือนี่ แสบรูประตูไปหมดแล้ววว ... อูสสส !!!
เวลาผ่านไปไม่นาน กรุงศรีฯ เสียหายหนักอย่างไม่น่าเชื่อ ... พวกหมู่พม่าที่เหิมเกริมเริ่มหยุดคึก พวกมันระดมพลมากมายดุจสายน้ำหลาก ไหลบ่าเข้ากรุงมาทุกด่านประตู ...
จ๋อม จ๋อม --- !! พวกมันก็ทำสำเร็จ ... อ้าาา ...
ผมกดน้ำ ... ส่งพม่ากลับไปในกาลอดีตอีกครั้ง ...
วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ลอง
------- (๑) -------
ทุกคนต่างมีจุดยืนของตัวเอง ...
ดังนั้น เราอาจจะแตกต่างกันออกไปบ้างในรายละเอียด
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีจุดที่เหมือนกัน
จุดยืนหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญ ที่ควรจะยิ่งใหญ่กว่าจุดยืนอื่นๆ ในชีวิต
นั้น คือ การรักคนอื่น การรู้สึกว่าเราเป็นของกันและกัน
------- (ลอง // เริ่ม // รู้) -------
ผมทอดสายตามมองออกไปในสังคม สังคมนี้สะท้อนอยู่บนหน้ากระดาษของหนังสือพมพ์
ผมเห็นอะไร ...
ผมเฝ้าชี้นิ้วไล่ไปบนบรรทัดตัวอักษร พากเพียรอ่านจนครบจบเล่ม สิ่งที่เห็น ผมคงไม่ต้องบรรยาย หรืออธิบายขยายความต่อ เพราะทุกคนที่อ่านหนังสือพิมพ์คงจะมองเห็นได้ ไม่แตกต่างกัน
ทุกเช้าบนหน้ากระดาษบางๆ นี้ จะสะท้อนเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในอีกแง่มุมหนึ่งของสังคม เป็นเรื่อง "ผิดปกติ" ที่ถูกนำมาตีแผ่ จนกลายเป็น "เรื่องปกติ" จากมุมมืด จากความลับ มันถูกเผยให้เห็นเด่นกระจ่าง ...
สิ่งที่ผมหวังไว้ในหัวใจ ไม่ใช่ภาพเหล่านั้น ผมวาดฝันที่จะเห็นคนเราเดินไปบนท้องถนนด้วยแรงบันดาลใจ ผมฝันอยากให้ผู้คนตามตลาดร่วมมือกันทำบางสิ่ง ที่ดีกับสังคม กิจกรรมบางกิจกรรมที่จัดขึ้นมาเพื่อชุมชน และอื่นๆ อีกมากมาย โดยไม่ต้องยึดกับกฏเกณฑ์เดิมๆ ที่เคยทำกันมา คิดแค่ว่าอะไรที่มีประโยชน์ก็ "ลงขัน" กันทำ ร่วมด้วยช่วยกันคนละไม้คนละมือ
ความจริง ผมไม่อยากแค่ฝัน ...
สองสัปดาห์แล้วที่ "เรา" กลุ่มเพื่อน เหล่ายุวชนนักเขียนเพลง มารวมตัวกันทำรายการวิทยุคลิ๊ป ในชื่อ "Voice me please" โดยเราเอาความฝันของพวกเราแต่ละคนมาแบ่งปันกัน เล่าให้กันฟัง ยิ้มและหัวเราะ มันเป็นช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน ที่เราจะได้มีพื้นที่ให้กับจินตนาการ เหมือนเราย้อนเวลา กลับไปสู่สภาพของเด็กประถมอีกครั้ง เมื่อครั้งเราเอาขนมและของเล่นมาปันกันเล่น มันง่าย ไม่ซับซ้อน และสุขใจอย่างแปลกประหลาด ก่อนที่เราจะโตขึ้น แล้วปล่อยให้คำว่า "อดีต" ทำให้เราค่อยๆ "ลืม"
เราตั้งใจว่าจะไปหาเพื่อนที่มีความฝันแบบเดียวกับเรามาอีก และเปิดพื้นที่ให้กับพวกเขา เราไม่รู้ว่าสุดท้ายหน้าตาของรายการวิทยุคลิ๊ปนี้จะเป็นอย่างไร แต่เราก็พากเพียรอย่างที่สุดของความสามารถ ตั้งใจจะทำมันไปจนกว่าจะสำเร็จ
รางวัลเหรอ ...
ผมกับเพื่อนเราต่างก็ไม่มีงานประจำ พวกเรารับจ๊อบเล็กๆ ประทังท้องไปวันๆ แน่นอนเราลำบาก หากแต่เราไม่กลัวในจิตใจ เราเชื่อร่วมกันว่า คนที่ซื่อสัตย์กับสิ่งที่เชื่อ เขาจะไม่ขัดสน จะไม่อดตาย และเมื่อถึงเวลาที่รอคอย มันย่อมคุ้มค่ากับสิ่งที่เราลงแรงหว่าน
ดิน เวลา ฝนฟ้า และคำวิงวอนจะได้รับการตอบสนองแน่ๆ
เราจึง "ลองดี" ที่จะเชื่อ ที่จะลงมือทำ เพราะเราแข็งแกร่ง ไม่ใช่แข็งแกร่งแต่แรกเกิด หากแต่เป็นเพราะเราล้มบ่อย จนเราไม่ลืมวิธีลุก
เราจำแม่น ว่าหากมีคนมาดูถูกความฝันของเรา หากมีสิ่งมาท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นความหิว ความเหนื่อยล้า หรือคำพูดของใครบางคน คำใดก็ตามแต่ เราก็จะยังไม่ลืม ที่จะย้ำความฝันของเรา เป็นคำเตือนใจให้ดังขึ้นมาอีกครั้ง จนเรารู้ตัว มีสติ และก้าวต่อไปได้
ดังนั้น ที่จำได้ขึ้นใจ ก็เพราะเรา "ย้ำ" บ่อยนั่นเอง
ไม่แน่วันหนึ่งข้างหน้า หน้าพาดหัวหนังสือพิมพ์อาจเปลี่ยนไป ถ้ามีคนเชื่อรวมกันมากเพียงพอ ถ้ามีคนเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากพอ ...
------- (ส่งท้าย) -------
คนเราทุกคนมีจุดยืน แต่เราก็ต้องไม่ลืมจุดยืนอันแสนเรียบง่ายประการหนึ่ง คือ
เราจะรักและเชื่อในเพื่อนของเรา ... จะศรัทธาในความฝันของเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
จงให้ ออกไปก่อน จงรักก่อน จงเริ่มก่อน ...
ทุกคนต่างมีจุดยืนของตัวเอง ...
ดังนั้น เราอาจจะแตกต่างกันออกไปบ้างในรายละเอียด
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีจุดที่เหมือนกัน
จุดยืนหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญ ที่ควรจะยิ่งใหญ่กว่าจุดยืนอื่นๆ ในชีวิต
นั้น คือ การรักคนอื่น การรู้สึกว่าเราเป็นของกันและกัน
------- (ลอง // เริ่ม // รู้) -------
ผมทอดสายตามมองออกไปในสังคม สังคมนี้สะท้อนอยู่บนหน้ากระดาษของหนังสือพมพ์
ผมเห็นอะไร ...
ผมเฝ้าชี้นิ้วไล่ไปบนบรรทัดตัวอักษร พากเพียรอ่านจนครบจบเล่ม สิ่งที่เห็น ผมคงไม่ต้องบรรยาย หรืออธิบายขยายความต่อ เพราะทุกคนที่อ่านหนังสือพิมพ์คงจะมองเห็นได้ ไม่แตกต่างกัน
ทุกเช้าบนหน้ากระดาษบางๆ นี้ จะสะท้อนเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในอีกแง่มุมหนึ่งของสังคม เป็นเรื่อง "ผิดปกติ" ที่ถูกนำมาตีแผ่ จนกลายเป็น "เรื่องปกติ" จากมุมมืด จากความลับ มันถูกเผยให้เห็นเด่นกระจ่าง ...
สิ่งที่ผมหวังไว้ในหัวใจ ไม่ใช่ภาพเหล่านั้น ผมวาดฝันที่จะเห็นคนเราเดินไปบนท้องถนนด้วยแรงบันดาลใจ ผมฝันอยากให้ผู้คนตามตลาดร่วมมือกันทำบางสิ่ง ที่ดีกับสังคม กิจกรรมบางกิจกรรมที่จัดขึ้นมาเพื่อชุมชน และอื่นๆ อีกมากมาย โดยไม่ต้องยึดกับกฏเกณฑ์เดิมๆ ที่เคยทำกันมา คิดแค่ว่าอะไรที่มีประโยชน์ก็ "ลงขัน" กันทำ ร่วมด้วยช่วยกันคนละไม้คนละมือ
ความจริง ผมไม่อยากแค่ฝัน ...
สองสัปดาห์แล้วที่ "เรา" กลุ่มเพื่อน เหล่ายุวชนนักเขียนเพลง มารวมตัวกันทำรายการวิทยุคลิ๊ป ในชื่อ "Voice me please" โดยเราเอาความฝันของพวกเราแต่ละคนมาแบ่งปันกัน เล่าให้กันฟัง ยิ้มและหัวเราะ มันเป็นช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน ที่เราจะได้มีพื้นที่ให้กับจินตนาการ เหมือนเราย้อนเวลา กลับไปสู่สภาพของเด็กประถมอีกครั้ง เมื่อครั้งเราเอาขนมและของเล่นมาปันกันเล่น มันง่าย ไม่ซับซ้อน และสุขใจอย่างแปลกประหลาด ก่อนที่เราจะโตขึ้น แล้วปล่อยให้คำว่า "อดีต" ทำให้เราค่อยๆ "ลืม"
เราตั้งใจว่าจะไปหาเพื่อนที่มีความฝันแบบเดียวกับเรามาอีก และเปิดพื้นที่ให้กับพวกเขา เราไม่รู้ว่าสุดท้ายหน้าตาของรายการวิทยุคลิ๊ปนี้จะเป็นอย่างไร แต่เราก็พากเพียรอย่างที่สุดของความสามารถ ตั้งใจจะทำมันไปจนกว่าจะสำเร็จ
รางวัลเหรอ ...
ผมกับเพื่อนเราต่างก็ไม่มีงานประจำ พวกเรารับจ๊อบเล็กๆ ประทังท้องไปวันๆ แน่นอนเราลำบาก หากแต่เราไม่กลัวในจิตใจ เราเชื่อร่วมกันว่า คนที่ซื่อสัตย์กับสิ่งที่เชื่อ เขาจะไม่ขัดสน จะไม่อดตาย และเมื่อถึงเวลาที่รอคอย มันย่อมคุ้มค่ากับสิ่งที่เราลงแรงหว่าน
ดิน เวลา ฝนฟ้า และคำวิงวอนจะได้รับการตอบสนองแน่ๆ
เราจึง "ลองดี" ที่จะเชื่อ ที่จะลงมือทำ เพราะเราแข็งแกร่ง ไม่ใช่แข็งแกร่งแต่แรกเกิด หากแต่เป็นเพราะเราล้มบ่อย จนเราไม่ลืมวิธีลุก
เราจำแม่น ว่าหากมีคนมาดูถูกความฝันของเรา หากมีสิ่งมาท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นความหิว ความเหนื่อยล้า หรือคำพูดของใครบางคน คำใดก็ตามแต่ เราก็จะยังไม่ลืม ที่จะย้ำความฝันของเรา เป็นคำเตือนใจให้ดังขึ้นมาอีกครั้ง จนเรารู้ตัว มีสติ และก้าวต่อไปได้
ดังนั้น ที่จำได้ขึ้นใจ ก็เพราะเรา "ย้ำ" บ่อยนั่นเอง
ไม่แน่วันหนึ่งข้างหน้า หน้าพาดหัวหนังสือพิมพ์อาจเปลี่ยนไป ถ้ามีคนเชื่อรวมกันมากเพียงพอ ถ้ามีคนเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากพอ ...
------- (ส่งท้าย) -------
คนเราทุกคนมีจุดยืน แต่เราก็ต้องไม่ลืมจุดยืนอันแสนเรียบง่ายประการหนึ่ง คือ
เราจะรักและเชื่อในเพื่อนของเรา ... จะศรัทธาในความฝันของเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
จงให้ ออกไปก่อน จงรักก่อน จงเริ่มก่อน ...
วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ความแปรปรานของ "อากาศ" ตอนที่ ๗
------- (๑) -------
ถ้าเป็นฉันที่กำลังร้องไห้ จะเป็นเธอได้ไหม ที่กอดฉันไว้
ถ้าเป็นฉันที่กำลังเปล่าเปลี่ยว จะเป็นเธอได้ไหมที่เคียงข้างฉัน
เป็นเธอที่ผ่านเวลาทุกทิวาราตรีไปด้วยกัน
เป็นเธอที่ใช้ลมหายใจร่วมกันกับฉัน
------- (๒) -------
ต้องมีเหตุผลด้วยหรือ เวลาที่เราจะรักใครสักคน
ต้องมีเหตุผลด้วยหรือที่เราจะเกลียดใครสักคน
มันก็แค่ "รัก" และ "เกลียด" เท่านั้นเอง ...
ชอบอธิบายกันจริงๆ เลยนะ ...
แล้วสุดท้าย มันสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือไง
------- (เวลา // ผ่านแววตา) -------
ฉันอยู่ตรงนี้ไม่มีใครมองเห็น ... ที่ใต้ตู้ไม้สี่เหลี่ยม ... มันเป็นสีเขียวเหมือนผนังที่ทำจากไม้ของอาคารเรียนแห่งนี้ ไม่มีใครมาตามหาฉันเลย
ฉันคงจะอยู่คนเดียวอีกตามเคย ...
พอแล้ว ... ฉันไม่เล่นแล้ว เบื่อที่สุด โลกนี้ คำว่า "เพื่อน" มันหมายความว่าอะไรกัน ... ฉันก้าวเท้าออกมาจากเงามืดใต้ตู้ไม้สีเขียวใบนั้น เพื่อนคงอยู่ข้างนอกห้องเรียนกัน เอาล่ะ !!!
"ยัยหัวเปียมาแล้วโว้ย" ตั้มหัวโจกทักฉัน ...
"สวัสดี" ฉันไม่รู้จะพูดอะไร
ป้าบบ ------- !!
ฉันเจ็บจุก ล้มลงไปกองกับพื้น หายใจไม่ออก อันที่จริงมันออกมาอย่างสั้นๆ เหมือนฉันกำลังจะเป็นลม ทุกอย่างกลายที่สีเขียวสลับดำ แต่ก็ยังได้ยินเสียงของตั้มกับสมุน ถึงแม้มันจะลางเลือนก็ตามที
"ดีมากเขียว ตุ๊ยท้องมันแบบนั้นแหละ ท่าอะไรนะ" ตั้มถามพลางหัวเราะเยาะฉัน
"อะครอสวิงกิ้ง กูดูมาเมื่อวาน มึงดูรึยังสนุกนะ" เขียวตอบ ท่าทางภูมิใจน่าดู
"จับมันขึ้นมาดิ๊ มันแกล้งตายว่ะ" ตั้มสั่ง
"เฮ๊ย ... ลุกดิ ยัยเปีย ... อย่ามาสำออย" เขาพลางตวาดใส่ฉัน
เขียวกับป๋องที่ไม่ค่อยพูด ดึงฉันขึ้นสุดกำลัง ... มันเหมือนฉันโดนฟ้าผ่า ท้องของฉันเจ็บปวดไปหมด แต่ฉันก็ไม่มีแรงตะโกนบอกใคร ...
"ลูกถีบไรเดอร์ คิ๊ก" ตั้มกำลังจะโชว์ ท่าไม้ตายเด็ดของเขา หากโดนเข้าคงตายแน่ๆ ทำไมนะ พวกผู้ชายชอบเห็นฉันเป็นสัตว์ประหลาดในการ์ตูนไปได้
ป้าปป ------- !!
เสียงดังสนั่นกว่าคราวแรก แต่กลับเป็นตั้มที่ล้มทั้งยืน เด็กแว่นคนนั้นเป็นใครกันนะ ...
------- (ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอ) -------
จนถึงตอนนี้ เขายังคงเฝ้าฉันอยู่ข้างเตียง นอนเฝ้าอยู่ ที่เตียงข้างๆ มีท่อน้ำเกลือที่แขน และมีผ้าพันแผลเต็มไปหมด เด็กแว่นคนนั้นยามไม่ได้ใส่แว่นดูน่ารักทีเดียว ทำไมเขาถึงมาช่วยฉันนะ ทั้งๆ ที่รู้ว่าพวกนั้นจะรุมแท้ๆ ...
ครูพยาบาลหมุนโทรศัพท์ไม่หยุด มันเหมือนจะไม่มีใครรับ เขาคงไม่มีเพื่อนเหมือนกับฉัน ฉันก็จะนอนเฝ้าเขาที่ข้างๆ เตียงของเขาไปอย่างนี้แหละ ... คุ้มจังเลยที่ฉันโดยแกล้ง คุ้มจริงๆ ...
------- (เป็นเพื่อนกันนะ) -------
"เธอ เธอ" เสียงใครเรียกฉันนะ ไม่คุ้นหูเลย
ภาพเด็กผู้ชายคนนั้นต่อยๆ ชัดขึ้นในดวงตา แม้ก่อนหน้านี้มันจะเบลอๆ แต่ฉันจำเขาได้ดีทีเดียว เขาคนนั้น คนที่เราต่างนอนเฝ้ากันและกัน ...
"ตื่นแล้วเหรอ" ฉันตอบไป พลางส่งยิ่ม
"ทีหลังอย่าไปยุ่งกับพวกมันนะ เดี๋ยวตาย" เขาบอกฉัน ให้ตายสิ ... เขาน่ารักจริงๆ ยามที่เขาเอาหมอนหนุนหัวออกแล้วนอนบนแขนซ้ายในท่าตะแคง ...
"เขาใจมั้ยเปีย" อึ๋ย ... ทำไมเรียกอย่างนี้ล่ะเนี่ย
"เธอชื่ออะไร" ฉันถาม
"แอน" เขาตอบสั้น
"ฉันชื่อแพรทิมาจันทร์นะ เรียกแพรเฉยๆ ก็ได้" ฉันตอบยาว อยากทอดบทสนทนานี้ให้ยาวออกไปอีกหน่อย
"เป็นเพื่อนกับฉันสักวันได้ไหม..." เขาถาม
"ถ้าอยากเป็นตลอดล่ะแอน" ฉันถามบ้าง
"พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่นะ เอาแค่วันนี้ก่อน" เขาตอบ สำหรับฉันแล้ว มันเป็นคำตอบที่ฟังแล้วกลับชวนให้ยิ่งสงสัย มากกว่าที่จะทำให้เกิดความเข้าใจซะอีก
"ได้สิ" ฉันไม่เซ้าซี้เขาอีก ...
------- (จบตอน) -------
ถ้าเป็นฉันที่กำลังร้องไห้ จะเป็นเธอได้ไหม ที่กอดฉันไว้
ถ้าเป็นฉันที่กำลังเปล่าเปลี่ยว จะเป็นเธอได้ไหมที่เคียงข้างฉัน
เป็นเธอที่ผ่านเวลาทุกทิวาราตรีไปด้วยกัน
เป็นเธอที่ใช้ลมหายใจร่วมกันกับฉัน
------- (๒) -------
ต้องมีเหตุผลด้วยหรือ เวลาที่เราจะรักใครสักคน
ต้องมีเหตุผลด้วยหรือที่เราจะเกลียดใครสักคน
มันก็แค่ "รัก" และ "เกลียด" เท่านั้นเอง ...
ชอบอธิบายกันจริงๆ เลยนะ ...
แล้วสุดท้าย มันสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือไง
------- (เวลา // ผ่านแววตา) -------
ฉันอยู่ตรงนี้ไม่มีใครมองเห็น ... ที่ใต้ตู้ไม้สี่เหลี่ยม ... มันเป็นสีเขียวเหมือนผนังที่ทำจากไม้ของอาคารเรียนแห่งนี้ ไม่มีใครมาตามหาฉันเลย
ฉันคงจะอยู่คนเดียวอีกตามเคย ...
พอแล้ว ... ฉันไม่เล่นแล้ว เบื่อที่สุด โลกนี้ คำว่า "เพื่อน" มันหมายความว่าอะไรกัน ... ฉันก้าวเท้าออกมาจากเงามืดใต้ตู้ไม้สีเขียวใบนั้น เพื่อนคงอยู่ข้างนอกห้องเรียนกัน เอาล่ะ !!!
"ยัยหัวเปียมาแล้วโว้ย" ตั้มหัวโจกทักฉัน ...
"สวัสดี" ฉันไม่รู้จะพูดอะไร
ป้าบบ ------- !!
ฉันเจ็บจุก ล้มลงไปกองกับพื้น หายใจไม่ออก อันที่จริงมันออกมาอย่างสั้นๆ เหมือนฉันกำลังจะเป็นลม ทุกอย่างกลายที่สีเขียวสลับดำ แต่ก็ยังได้ยินเสียงของตั้มกับสมุน ถึงแม้มันจะลางเลือนก็ตามที
"ดีมากเขียว ตุ๊ยท้องมันแบบนั้นแหละ ท่าอะไรนะ" ตั้มถามพลางหัวเราะเยาะฉัน
"อะครอสวิงกิ้ง กูดูมาเมื่อวาน มึงดูรึยังสนุกนะ" เขียวตอบ ท่าทางภูมิใจน่าดู
"จับมันขึ้นมาดิ๊ มันแกล้งตายว่ะ" ตั้มสั่ง
"เฮ๊ย ... ลุกดิ ยัยเปีย ... อย่ามาสำออย" เขาพลางตวาดใส่ฉัน
เขียวกับป๋องที่ไม่ค่อยพูด ดึงฉันขึ้นสุดกำลัง ... มันเหมือนฉันโดนฟ้าผ่า ท้องของฉันเจ็บปวดไปหมด แต่ฉันก็ไม่มีแรงตะโกนบอกใคร ...
"ลูกถีบไรเดอร์ คิ๊ก" ตั้มกำลังจะโชว์ ท่าไม้ตายเด็ดของเขา หากโดนเข้าคงตายแน่ๆ ทำไมนะ พวกผู้ชายชอบเห็นฉันเป็นสัตว์ประหลาดในการ์ตูนไปได้
ป้าปป ------- !!
เสียงดังสนั่นกว่าคราวแรก แต่กลับเป็นตั้มที่ล้มทั้งยืน เด็กแว่นคนนั้นเป็นใครกันนะ ...
------- (ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอ) -------
จนถึงตอนนี้ เขายังคงเฝ้าฉันอยู่ข้างเตียง นอนเฝ้าอยู่ ที่เตียงข้างๆ มีท่อน้ำเกลือที่แขน และมีผ้าพันแผลเต็มไปหมด เด็กแว่นคนนั้นยามไม่ได้ใส่แว่นดูน่ารักทีเดียว ทำไมเขาถึงมาช่วยฉันนะ ทั้งๆ ที่รู้ว่าพวกนั้นจะรุมแท้ๆ ...
ครูพยาบาลหมุนโทรศัพท์ไม่หยุด มันเหมือนจะไม่มีใครรับ เขาคงไม่มีเพื่อนเหมือนกับฉัน ฉันก็จะนอนเฝ้าเขาที่ข้างๆ เตียงของเขาไปอย่างนี้แหละ ... คุ้มจังเลยที่ฉันโดยแกล้ง คุ้มจริงๆ ...
------- (เป็นเพื่อนกันนะ) -------
"เธอ เธอ" เสียงใครเรียกฉันนะ ไม่คุ้นหูเลย
ภาพเด็กผู้ชายคนนั้นต่อยๆ ชัดขึ้นในดวงตา แม้ก่อนหน้านี้มันจะเบลอๆ แต่ฉันจำเขาได้ดีทีเดียว เขาคนนั้น คนที่เราต่างนอนเฝ้ากันและกัน ...
"ตื่นแล้วเหรอ" ฉันตอบไป พลางส่งยิ่ม
"ทีหลังอย่าไปยุ่งกับพวกมันนะ เดี๋ยวตาย" เขาบอกฉัน ให้ตายสิ ... เขาน่ารักจริงๆ ยามที่เขาเอาหมอนหนุนหัวออกแล้วนอนบนแขนซ้ายในท่าตะแคง ...
"เขาใจมั้ยเปีย" อึ๋ย ... ทำไมเรียกอย่างนี้ล่ะเนี่ย
"เธอชื่ออะไร" ฉันถาม
"แอน" เขาตอบสั้น
"ฉันชื่อแพรทิมาจันทร์นะ เรียกแพรเฉยๆ ก็ได้" ฉันตอบยาว อยากทอดบทสนทนานี้ให้ยาวออกไปอีกหน่อย
"เป็นเพื่อนกับฉันสักวันได้ไหม..." เขาถาม
"ถ้าอยากเป็นตลอดล่ะแอน" ฉันถามบ้าง
"พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่นะ เอาแค่วันนี้ก่อน" เขาตอบ สำหรับฉันแล้ว มันเป็นคำตอบที่ฟังแล้วกลับชวนให้ยิ่งสงสัย มากกว่าที่จะทำให้เกิดความเข้าใจซะอีก
"ได้สิ" ฉันไม่เซ้าซี้เขาอีก ...
------- (จบตอน) -------
ความแปรปรวนของ "อากาศ" ตอนที่ ๖
------- (๑) -------
อาจมีคำรัก ในเสียงหวานของเธอ
อาจมีคำลวง ในแววตา
อาจมีคำถาม ในความคิด
"ถูก" หรือ "ผิด"
"ใช่" หรือ "แค่ชอบ"
------- (๒) -------
เมื่อคนที่ "ใช่" ไม่ใช่คนที่ "ชอบ"
แล้วคนที่ "ชอบ" ดัน "ไม่ใช่"
------- (ใช่ // แค่ล้อเล่น) -------
ช่วงเวลาบนเรือนนาฬิกาหยุดลงสั้นๆ วุ้นเส้นโฟลอยคว้าง ค้างเต่อคาตะเกียบ ทั้งๆ ที่มันห่างจากปากแค่ไม่กี่ระยะข้อนิ้ว
"แพรอย่าล้อเล่นสิ เราเพื่อนกันนะ" ผมพูดเคลิ้มๆ
"เราไม่ได้ล้อเล่นนะ ... เป็นแฟนเราสักวันเถอะ ... ได้มั้ย ??" เธออ้อน
เธอเป็นสาวสวยอย่างที่ยากจะอาจเอื้อม เป็นนางในฝันของชายหนุ่มทุกคนในประวัติศาสตร์ และแน่นอนมันก็แอบมีผมที่รวมอยู่ในนั้นด้วย ผมดีใจเป็นล้นเหลือ มากยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น ... ใครปฏิเสธเธอได้ก็เข้าขั้นโง่บรม
"คงไม่ได้หรอกแพร" เหลือเชื่อ ... ผมพูดอะไรออกไปเนี่ย
มวลอากาศอบอ้าวลอยนิ่ง รอบๆ ตัวเราสองคน และตอนนี้มันนิ่งยิ่งกว่าที่เคย ...
"นั่นสินะ ... เราก็แค่อยากล้อนายเล่นเท่านั้นเอง" เธอตบไหล่ผมแรงๆ พลางส่งยิ้ม ยิ้มละมุนที่เจือหยดน้ำตาจากสองเบ้า ร่องแก้มเธอระยิบด้วยหยดน้ำใสๆ แก้มชมพูระเรื่อพลอยหดหู่ขึ้นมาในทันที
"ฉันอิ่มแล้วล่ะ ไปก่อนนะเพื่อน" เธอยังคงยิ้มหวาน มันละลายหายไปในแก้วน้ำแข็งเปล่าสีชมพูแปร๋นของเธอ ... ใช่ ... แค่คำล้อเล่นเท่านั้น ... "ยังไงซะเรามันก็เพื่อนกัน"
------- (พื้นที่แห่งความวุ่นวาย) -------
ความน่าเบื่อแบบสุดติ่ง บริษัทของผมเอง ... เหมือนสองสิ่งนี้มันจะเป็นคนละสิ่งกัน แต่ทว่าสมองของผมกลับแยกความแตกต่างของพวกมันไม่ออก สองสิ่งนี้ถูกวางเอาไว้ด้วยกัน โดยที่ระหว่างกลางถูกขั้นไว้ด้วย "เครื่องหมายเท่ากับ"
ชั้นสิบสาม ตึกนี้ไม่มีลิฟท์ ... แค่คิดก็เมื่อยทะลุกล้ามแล้ว งบคงจะหมดตอนประเทศไทยเป็นหนี้ไอเอ็มเอฟล่ะมั้ง ... ช่างเหอะ ... ถึงยังไง มันก็สูงและน่าเบื่อในขณะเดียวกันอยู่ดี
ผมวางกระเป๋าสะพายที่ทำจากหนังสีน้ำตาลไว้บนโต๊ะ โต๊ะที่เแสนเปราะบาง มันใกล้หักเต็มทน งานสุมท่วมท้นแทบจะเกินขีดจำกัดของกำลังจากขาโต๊ะทั้งสี่อยู่แล้ว ผมนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม เล็กๆ สีแดงคาดดำ ผมหมุนตัวไปมาบนเจ้ากี้อี้ตัวนั้นระหว่างทำงานบ่อยๆ อันที่จริง คือ ระหว่างที่ผมคิดอะไรไม่ออก
และตอนนี้ผมคงจะต้องหมุนมันมากกว่าที่เคย ... "แพร ... มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ ???"
------- (ภาระกิจระดับชาติ) -------
"พี่เล็กเรียกประชุม" เอื้อยมาตามพวกเราเข้าประชุม
เอื้อยเป็นพนักงานคนหนึ่งในบริษัท เธอเป็นตัวเล็ก พูดน้อย จริงจังกับงานของเธออย่างมาก นั่นคือ "เลขา" ความจำของเธอเป็นเลิศ ไม่มีใครเทียบได้เลย ... จริงๆ
"พี่นุชสรุปยอด พี่เป้รายงานฐานลูกค้าเดือนที่ผ่านมาเทียบกับเดือนนี้ ..." ผมได้ยินเพียงเท่านี้ เพราะเธอเล่นเดินจี้ไปทีละโต๊ะ เธอพูดออกมาแบบ ... ไม่ต้อง ... มี ...
"พี่แอนเตรียมเอกสารด้วยนะ" นั่นไง ถึงคราวของผม ยั่ยเตี้ยนี่เดินมาจี้ผมที่โต๊ะ
"จ้าเอื้อย รับทราบ" ผมตอบกึ่งประชด เธอมองผมด้วยหางตา แล้วก็เดินจากไป ชุดสูทสีเทาดูจะตัวใหญ่ไปสำหรับเธอ ผมนึกขำในใจ
"ยั่ยเตี้ยเอ๊ย ท่าทางตอนเด็กๆ คงจะไม่ได้กินนม แม้กระทั่งวัวก็อาจไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร เห็นหมาลายขาวดำคงจะถามแม่แหง ... แม่คะ ทำไมมันไม่กินหญ้าละคะแม่ .. หึหึ" คิดแล้วก็ยิ่งอดขำไม่ได้
พอผมคิดมันจนสาแก่ใจแล้ว ก็จัดแจงเตรียมเอกสารที่สำคัญจนครบ แล้วเดินตรงไปยังห้องประชุมทันที ระหว่างทางผมเจอพี่เล็กโดยบังเอิญ เขายืนกำลังหันหลังให้ผม กับใครอีกคนที่ทางหนีไฟ
พี่เล็กกับแพรจับมือกัน ... ใครบางคนกำลังเสียน้ำตา ...
อาจมีคำรัก ในเสียงหวานของเธอ
อาจมีคำลวง ในแววตา
อาจมีคำถาม ในความคิด
"ถูก" หรือ "ผิด"
"ใช่" หรือ "แค่ชอบ"
------- (๒) -------
เมื่อคนที่ "ใช่" ไม่ใช่คนที่ "ชอบ"
แล้วคนที่ "ชอบ" ดัน "ไม่ใช่"
------- (ใช่ // แค่ล้อเล่น) -------
ช่วงเวลาบนเรือนนาฬิกาหยุดลงสั้นๆ วุ้นเส้นโฟลอยคว้าง ค้างเต่อคาตะเกียบ ทั้งๆ ที่มันห่างจากปากแค่ไม่กี่ระยะข้อนิ้ว
"แพรอย่าล้อเล่นสิ เราเพื่อนกันนะ" ผมพูดเคลิ้มๆ
"เราไม่ได้ล้อเล่นนะ ... เป็นแฟนเราสักวันเถอะ ... ได้มั้ย ??" เธออ้อน
เธอเป็นสาวสวยอย่างที่ยากจะอาจเอื้อม เป็นนางในฝันของชายหนุ่มทุกคนในประวัติศาสตร์ และแน่นอนมันก็แอบมีผมที่รวมอยู่ในนั้นด้วย ผมดีใจเป็นล้นเหลือ มากยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น ... ใครปฏิเสธเธอได้ก็เข้าขั้นโง่บรม
"คงไม่ได้หรอกแพร" เหลือเชื่อ ... ผมพูดอะไรออกไปเนี่ย
มวลอากาศอบอ้าวลอยนิ่ง รอบๆ ตัวเราสองคน และตอนนี้มันนิ่งยิ่งกว่าที่เคย ...
"นั่นสินะ ... เราก็แค่อยากล้อนายเล่นเท่านั้นเอง" เธอตบไหล่ผมแรงๆ พลางส่งยิ้ม ยิ้มละมุนที่เจือหยดน้ำตาจากสองเบ้า ร่องแก้มเธอระยิบด้วยหยดน้ำใสๆ แก้มชมพูระเรื่อพลอยหดหู่ขึ้นมาในทันที
"ฉันอิ่มแล้วล่ะ ไปก่อนนะเพื่อน" เธอยังคงยิ้มหวาน มันละลายหายไปในแก้วน้ำแข็งเปล่าสีชมพูแปร๋นของเธอ ... ใช่ ... แค่คำล้อเล่นเท่านั้น ... "ยังไงซะเรามันก็เพื่อนกัน"
------- (พื้นที่แห่งความวุ่นวาย) -------
ความน่าเบื่อแบบสุดติ่ง บริษัทของผมเอง ... เหมือนสองสิ่งนี้มันจะเป็นคนละสิ่งกัน แต่ทว่าสมองของผมกลับแยกความแตกต่างของพวกมันไม่ออก สองสิ่งนี้ถูกวางเอาไว้ด้วยกัน โดยที่ระหว่างกลางถูกขั้นไว้ด้วย "เครื่องหมายเท่ากับ"
ชั้นสิบสาม ตึกนี้ไม่มีลิฟท์ ... แค่คิดก็เมื่อยทะลุกล้ามแล้ว งบคงจะหมดตอนประเทศไทยเป็นหนี้ไอเอ็มเอฟล่ะมั้ง ... ช่างเหอะ ... ถึงยังไง มันก็สูงและน่าเบื่อในขณะเดียวกันอยู่ดี
ผมวางกระเป๋าสะพายที่ทำจากหนังสีน้ำตาลไว้บนโต๊ะ โต๊ะที่เแสนเปราะบาง มันใกล้หักเต็มทน งานสุมท่วมท้นแทบจะเกินขีดจำกัดของกำลังจากขาโต๊ะทั้งสี่อยู่แล้ว ผมนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม เล็กๆ สีแดงคาดดำ ผมหมุนตัวไปมาบนเจ้ากี้อี้ตัวนั้นระหว่างทำงานบ่อยๆ อันที่จริง คือ ระหว่างที่ผมคิดอะไรไม่ออก
และตอนนี้ผมคงจะต้องหมุนมันมากกว่าที่เคย ... "แพร ... มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ ???"
------- (ภาระกิจระดับชาติ) -------
"พี่เล็กเรียกประชุม" เอื้อยมาตามพวกเราเข้าประชุม
เอื้อยเป็นพนักงานคนหนึ่งในบริษัท เธอเป็นตัวเล็ก พูดน้อย จริงจังกับงานของเธออย่างมาก นั่นคือ "เลขา" ความจำของเธอเป็นเลิศ ไม่มีใครเทียบได้เลย ... จริงๆ
"พี่นุชสรุปยอด พี่เป้รายงานฐานลูกค้าเดือนที่ผ่านมาเทียบกับเดือนนี้ ..." ผมได้ยินเพียงเท่านี้ เพราะเธอเล่นเดินจี้ไปทีละโต๊ะ เธอพูดออกมาแบบ ... ไม่ต้อง ... มี ...
"พี่แอนเตรียมเอกสารด้วยนะ" นั่นไง ถึงคราวของผม ยั่ยเตี้ยนี่เดินมาจี้ผมที่โต๊ะ
"จ้าเอื้อย รับทราบ" ผมตอบกึ่งประชด เธอมองผมด้วยหางตา แล้วก็เดินจากไป ชุดสูทสีเทาดูจะตัวใหญ่ไปสำหรับเธอ ผมนึกขำในใจ
"ยั่ยเตี้ยเอ๊ย ท่าทางตอนเด็กๆ คงจะไม่ได้กินนม แม้กระทั่งวัวก็อาจไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร เห็นหมาลายขาวดำคงจะถามแม่แหง ... แม่คะ ทำไมมันไม่กินหญ้าละคะแม่ .. หึหึ" คิดแล้วก็ยิ่งอดขำไม่ได้
พอผมคิดมันจนสาแก่ใจแล้ว ก็จัดแจงเตรียมเอกสารที่สำคัญจนครบ แล้วเดินตรงไปยังห้องประชุมทันที ระหว่างทางผมเจอพี่เล็กโดยบังเอิญ เขายืนกำลังหันหลังให้ผม กับใครอีกคนที่ทางหนีไฟ
พี่เล็กกับแพรจับมือกัน ... ใครบางคนกำลังเสียน้ำตา ...
------ (จบตอน) -------
วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
มีความสุขได้ ... ไม่มีใครสาปไว้
ผมชื่อสโลว์แกนของรายการวิทยุตัวเองอย่างนั้น มันคงเป็นเพราะผมรู้ว่าความสุขไม่ใช่ "อารมณ์" แต่มันเป็น "สภาวะ" สภาวะที่เราตัดสินใจกับเรื่องบางเรื่องที่จะมีความสุขกับมัน แม้มันจะยากเหลือเกิน แต่เราก็พยายามหามุมที่เราจะสามารถมีความสุขได้
ชีวิตของผมเบื้องหน้า ในวันนี้ผมยังไม่สามารถตอบได้ว่ามันจะเดินทางไปไหน หรือมันจะมีรูปแบบอย่างไร หากแต่ความสุขของผม คือ การได้ใช้ชีวิตตามแรงบันดาลใจ คือ การได้เชื่อในสิ่งที่ศรัทธา คือ การได้หวังในสิ่งที่ฝัน ... ผมรู้ว่ากว่าจะไปถึงตรงนั้นคงต้องมีหลายแผล
"คนที่ไปรบเท่านั้นแหละ ที่จะมีแผลเป็นให้ภูมิใจ" ผมคิดดังๆ
ดังนั้นไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร หากยังมีความหวัง ยังมีความศรัทธา ยังมีความซื่อสัตย์ในความฝัน "สักวันหนึ่งไม่นานผมจะต้องไปถึงอย่างแน่นอน"
"ดังนั้นจงมีความสุข เพราะไม่มีใครสาปคุณเอาไว้"
ชีวิตของผมเบื้องหน้า ในวันนี้ผมยังไม่สามารถตอบได้ว่ามันจะเดินทางไปไหน หรือมันจะมีรูปแบบอย่างไร หากแต่ความสุขของผม คือ การได้ใช้ชีวิตตามแรงบันดาลใจ คือ การได้เชื่อในสิ่งที่ศรัทธา คือ การได้หวังในสิ่งที่ฝัน ... ผมรู้ว่ากว่าจะไปถึงตรงนั้นคงต้องมีหลายแผล
"คนที่ไปรบเท่านั้นแหละ ที่จะมีแผลเป็นให้ภูมิใจ" ผมคิดดังๆ
ดังนั้นไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร หากยังมีความหวัง ยังมีความศรัทธา ยังมีความซื่อสัตย์ในความฝัน "สักวันหนึ่งไม่นานผมจะต้องไปถึงอย่างแน่นอน"
"ดังนั้นจงมีความสุข เพราะไม่มีใครสาปคุณเอาไว้"
วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
เรียน รู้ เข้าใจ ตอนที่ ๒
------- (คำถามจากนักเรียนเพศหญิง) ------- แปลกใจผู้ชายไม่ยักถาม ??
"คือว่าหนูรู้สึกกดดันมากเลยค่ะเวลาเรียน อยากเรียนให้ได้เกรดดีๆ เพราะเวลาทำได้แบบนั้นพ่อแม่ก็จะดีใจ แต่ถ้าเกิดทำไม่ได้ เขาก็จะเสียใจ ซึ่งหากทำให้เขาเสียใจบ่อยๆ เข้า เขาจะไม่รักเราหมือนเดิมรึเปล่าคะ ..."
------- (คำตอบจากนักเขียนเพศชาย) --------
พี่มีวิธีลดความกดดันตรงนี้ให้น้อยลงจ่ะ คือ ส่วนตัวพี่เอง พี่เคยถามตัวเองว่ารักสำหรับพี่คืออะไร ... แล้วพี่ก็ตอบตัวเองว่า มันคือการที่เรายอมรับในตัวของคนคนนั้น ไม่ว่าเขาจะดีหรือร้าย มันคือความศรัทธาในส่วนดีของเขา อย่างที่ไม่ล้มเลิกง่ายๆ มันคือการเชื่อว่าเขายังคงเป็น "คนดี" ของเราอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเมื่อวาน วันนี้ หรือพรุ่งนี้
หลายคนชอบถามคนอื่นว่ารักเราเพราะอะไร เพราะหล่อ เพราะสวย เพราะน่ารักหรือเพราะเราเป็นคนดี แบบนี้เป็นความรักแบบ "เพราะว่า" คือมีเหตุผลเป็นตัวกำหนด แต่ในโลกนี้ยังมีความรักอีกแบบหนึ่ง เรียกว่าความรักแบบ "แม้ว่า" เช่น รักแม้ว่าพิการ รักแม้ว่าเลว รักแม้เธอไม่รัก เป็นต้น มันเป็นความรัก ที่มีปรารถนาดีไปถึงคนคนนั้น โดยที่ไม่ต้องมีเหตุผลมากำหนด ซึ่งสำหรับพี่ "รักแบบแม้ว่า" สามารถมอบให้พ่อแม่เราได้เลย ไม่ต้องคิด ...
ความรักที่พวกท่านมีให้เรา มันไม่ได้กำหนดขนาดความของเราที่ให้กลับ ตัวพี่เองไม่ว่าท่านจะรักพี่ หรือไม่ พี่ก็จะยังคงรักท่านเท่าเดิม ศรัทธาในตัวพวกท่านเท่าเดิม ไม่เสื่อมศรัทธาเวลามีเรื่องมากระทบกระเทือนกับความสัมพันธ์ของพวกเรา
ย้ำ ------- !!
คิดกับตัวเองให้ได้ว่า ไม่ว่าเราจะเรียนดีไม่ดีอย่างไร "หนูก็จะรักม่ามี๊กับป่าปิ๊เท่าเดิม" ยังคงอยากกอดพวกท่านให้แน่นสุดกำลังแขนเท่าเดิม การเรียนอาจผกผันไปตามความยากง่าย แต่มันไม่ได้ทำให้เราอยากกอดพวกท่านแบบหลวมๆ สักหน่อย ...
เราเป็นนักเรียนที่หลัง เราเป็นลูกของท่านก่อน ... ดังนั้นความรักในหัวใจของเราย่อมสำคัญกว่า ท่านก็ไม่ใช้เทวดาที่จะไม่เปราะบาง บางครั้งท่านว่าอาจจะเป็นเพราะหน้าที่การงานที่สาหัส ความรับผิดชอบของท่านอาจหนักอึ้ง ท่านอาจยิ้มต่อหน้าเรา แล้วแอบไปร้องไห้อยู่คนเดียวก็ได้ ดังนั้นหากเราเข้มแข็งให้ได้แบบนี้ ไม่มากก็น้อย มันย่อมส่งกำลังใจถึงท่านได้บ้าง ...
จงเข้มแข็ง ... แล้วตัดสินใจ ให้สัญญากับตัวเองอย่างนี้ แล้วก็รักษามันยิ่งชีพของเรา ... หากผิดพราดล้มลงก็จงหยัดยืนขึ้นใหม่ ไม่สำคัญว่าเราจะเป็นเด็กแล้วต้องยอมแพ้ ไม่มีใครสาปเราเอาไว้แบบนั้นสักหน่อยเนอะ
"รักก็คือรัก มันยิ่งใหญ่ สวยงามในตัวเอง ... หวาน ... โดยไม่ต้องเติมน้ำตาล" อ่านจบแล้วไปขอกอดท่านสักทีสิ อย่าลืมบอกท่านะว่า "หนูรักพ่อกับแม่มากๆ นะคะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม"
"คือว่าหนูรู้สึกกดดันมากเลยค่ะเวลาเรียน อยากเรียนให้ได้เกรดดีๆ เพราะเวลาทำได้แบบนั้นพ่อแม่ก็จะดีใจ แต่ถ้าเกิดทำไม่ได้ เขาก็จะเสียใจ ซึ่งหากทำให้เขาเสียใจบ่อยๆ เข้า เขาจะไม่รักเราหมือนเดิมรึเปล่าคะ ..."
------- (คำตอบจากนักเขียนเพศชาย) --------
พี่มีวิธีลดความกดดันตรงนี้ให้น้อยลงจ่ะ คือ ส่วนตัวพี่เอง พี่เคยถามตัวเองว่ารักสำหรับพี่คืออะไร ... แล้วพี่ก็ตอบตัวเองว่า มันคือการที่เรายอมรับในตัวของคนคนนั้น ไม่ว่าเขาจะดีหรือร้าย มันคือความศรัทธาในส่วนดีของเขา อย่างที่ไม่ล้มเลิกง่ายๆ มันคือการเชื่อว่าเขายังคงเป็น "คนดี" ของเราอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเมื่อวาน วันนี้ หรือพรุ่งนี้
หลายคนชอบถามคนอื่นว่ารักเราเพราะอะไร เพราะหล่อ เพราะสวย เพราะน่ารักหรือเพราะเราเป็นคนดี แบบนี้เป็นความรักแบบ "เพราะว่า" คือมีเหตุผลเป็นตัวกำหนด แต่ในโลกนี้ยังมีความรักอีกแบบหนึ่ง เรียกว่าความรักแบบ "แม้ว่า" เช่น รักแม้ว่าพิการ รักแม้ว่าเลว รักแม้เธอไม่รัก เป็นต้น มันเป็นความรัก ที่มีปรารถนาดีไปถึงคนคนนั้น โดยที่ไม่ต้องมีเหตุผลมากำหนด ซึ่งสำหรับพี่ "รักแบบแม้ว่า" สามารถมอบให้พ่อแม่เราได้เลย ไม่ต้องคิด ...
ความรักที่พวกท่านมีให้เรา มันไม่ได้กำหนดขนาดความของเราที่ให้กลับ ตัวพี่เองไม่ว่าท่านจะรักพี่ หรือไม่ พี่ก็จะยังคงรักท่านเท่าเดิม ศรัทธาในตัวพวกท่านเท่าเดิม ไม่เสื่อมศรัทธาเวลามีเรื่องมากระทบกระเทือนกับความสัมพันธ์ของพวกเรา
ย้ำ ------- !!
คิดกับตัวเองให้ได้ว่า ไม่ว่าเราจะเรียนดีไม่ดีอย่างไร "หนูก็จะรักม่ามี๊กับป่าปิ๊เท่าเดิม" ยังคงอยากกอดพวกท่านให้แน่นสุดกำลังแขนเท่าเดิม การเรียนอาจผกผันไปตามความยากง่าย แต่มันไม่ได้ทำให้เราอยากกอดพวกท่านแบบหลวมๆ สักหน่อย ...
เราเป็นนักเรียนที่หลัง เราเป็นลูกของท่านก่อน ... ดังนั้นความรักในหัวใจของเราย่อมสำคัญกว่า ท่านก็ไม่ใช้เทวดาที่จะไม่เปราะบาง บางครั้งท่านว่าอาจจะเป็นเพราะหน้าที่การงานที่สาหัส ความรับผิดชอบของท่านอาจหนักอึ้ง ท่านอาจยิ้มต่อหน้าเรา แล้วแอบไปร้องไห้อยู่คนเดียวก็ได้ ดังนั้นหากเราเข้มแข็งให้ได้แบบนี้ ไม่มากก็น้อย มันย่อมส่งกำลังใจถึงท่านได้บ้าง ...
จงเข้มแข็ง ... แล้วตัดสินใจ ให้สัญญากับตัวเองอย่างนี้ แล้วก็รักษามันยิ่งชีพของเรา ... หากผิดพราดล้มลงก็จงหยัดยืนขึ้นใหม่ ไม่สำคัญว่าเราจะเป็นเด็กแล้วต้องยอมแพ้ ไม่มีใครสาปเราเอาไว้แบบนั้นสักหน่อยเนอะ
"รักก็คือรัก มันยิ่งใหญ่ สวยงามในตัวเอง ... หวาน ... โดยไม่ต้องเติมน้ำตาล" อ่านจบแล้วไปขอกอดท่านสักทีสิ อย่าลืมบอกท่านะว่า "หนูรักพ่อกับแม่มากๆ นะคะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม"
ชายในขวดโหล ...
------- (๑) ------
ทะเล คือที่ที่น้ำมีสีฟ้า ...
"พ่อครับ ... ผมอยากไปทะเลจัง"
"รอพ่อหายดีก่อนนะ"
"เมื่อไหร่พ่อจะหายล่ะครับ ผมอยากไปเร็วๆ หนิ"
-------- (๒) -------
หลับให้สบายนะครับ ... ที่นี่ทะเล
ผมโปรยพ่อตรงนี้นะครับ ... พ่อคงไม่ต้องป่วยอีกแล้ว
มันสงบ ... ไม่ทรมาน ... ผมจะอยู่นั่งตรงนี้เป็นเพื่อนพ่อเอง
ในที่สุดเราก็ได้มาด้วยกัน
------- (๓) -------
ภูเขาที่พ่อเคยขี่จักรยานเล่น ยังอยู่
แต่พ่อจากไปแล้ว
ฉันมองวิวที่พ่อถ่ายรูป จำกลิ่นของสายลมผ่านดวงตา
พ่อใช้ตาของผมมองมันได้นะครับ ... ผมจะมองแทนพ่อเอง
------- (๔) -------
พ่อร้องไห้ในชีวิตนี้แค่สองครั้ง ผมอยู่ครบทั้งสองครั้ง
มีเพียงหนึ่งจากสอง ที่โตพอจะกอดพ่อไว้
"เราไม่เหลืออะไรแล้วนะลูก เค้าจะมายึดแล้ว"
ผมโอบแน่น ทั้งที่นั่น ... และที่นี่ ทะเล
------- (๕) -------
ลาก่อนครับ ... แล้วพบกันที่ปลายขอบฟ้านะครับ
รอผมก่อน เดี๋ยวผมจะตามไปครับ
ฉันเคยพูดคำนี้กับเขา มากกว่าหนึ่งครั้ง
ผมเห็นพ่อลอยไปตามคลื่น ในที่สุด ...
------- (บางแสน // เขาสามุก) -------
ผมเกิดที่กรุงเทพฯ โตที่กรุงเทพฯ แต่เศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตเคยอยู่ที่บางแสน ตอนผมเรียนที่มหาวิทยาลัยบูรพา เคยคิดตอนเป็นเด็กว่าสักวันหนึ่งจะหนีจากพ่อไปให้ไกลๆ อยากไปเที่ยว และจะเที่ยวให้สาแก่ความรู้สึกที่เคยอัดอั้น ผมเป็นอิสระแล้ว ...
มันโกหกทั้งเพ ชายคนหนึ่งรอคอยผมอยู่ที่บ้าน ผมเรียนเพื่ออะไร เพื่ออนาคตที่ทอดทิ้งปัจจุบันหรือ "พ่อ .. อย่าโทรมานักได้มั้ย น่ารำคาญน่ะ ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง" ผมพูดอย่างนั้นกับพ่อ ให้ตายสิ ...
ห้องสี่เหลี่ยมที่เขาอยู่ เวลาที่เขาใช้รอคอยผม ผมมักพูดว่าเดี๋ยวเรียนจบจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันแล้ว ทว่ามันไม่จริง พ่อชราเกินกว่าจะรอไหว
แต่เขาก็ยังรอ ... คนอื่นบนโลก มองยังไม่มองหน้าของผมเลย แต่เขาเอาเวลาที่เหลือน้อยมารอ ...
อยากชกหน้าตัวเองเป็นล้านครั้ง อยากขอโทษ ... ไม่ ... ไม่หรอกไม่อยาก ... อยากได้พ่อกลับมามากกว่า ต่อให้อายุของผมสั้นลงผมก็ยอม
แต่มันคงไม่ได้ ... ใช่มั้ย ... ผมน่าจะกอดเขาให้นานกว่านี้สินะ
ผมกลับมาที่บ้านหลังเรียนจบ ใช้เวลาอยู่กับเขาในช่วงโค้งสุดท้ายของชีวิต ค่ำหนึ่งมีโทรศัพท์เข้ามา เป็นพ่อเอง เสียงของเขาสั่นเครือฟังไม่ได้ศัพท์ ผมไม่ได้วางหู และก็ไม่พูดอะไรต่อ นอกจากฟังเสียงลมหายใจของชายชราคนหนึ่งที่น้ำกำลังท่วมปอด ...
คืนนั้นผมอยู่กับเขาเป็นคืนสุดท้าย
------- (การให้ที่ยิ่งใหญ่) -------
"ลูกอยากได้ทีวีมั้ย"
"ก็ดีนะครับ พ่ออาจจะเหงา"
"พ่ออยากนั้งดูเป็นเพื่อนลูกมากกว่า"
"เอาไว้พ่อมีตังค์จะซื้อให้นะลูก เอาจอใหญ่ๆ เลยนะ"
มันเป็นคำพูดของคนชราคนหนึ่ง เขาให้ผมซะจนชินใจ ทั้งเวลา เงิน และลมหายใจ ไม่น่าแปลกที่ผมคิดถึงเขาตลอดเวลา ไม่เคยลืมภาพรอยยิ้มของชายไร้ฟันคนนั้น ...
เราทั้งคู่ไม่ร่ำรวยอะไร
เราทั้งคู่อาจไม่ใช่คนดีมากนัก
แต่เราก็ดีใจที่ได้เรียก
"พ่อครับ" --- !!
"ไอ้ลูกชาย" --- !!
ผมเหมือนเขาจริงๆ ทั้งที่คิดมาตลอดว่าเราต่างกัน ...
วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ความแปรปรวนของ "อากาศ" ตอนที่ ๕
------- (๑) -------
ความฝันคืออะไร คือ "เรา"
ความจริงล่ะ ยังเป็น "เรา" อยู่ไหม
หรือฉันรั้นคิดไปเอง ...
------- (๒) -------
แม่คร๊าบบบบบบ !! แม่ ... อยู่ ... ที่ไหนครับ ??
ผมสะอื้น ร่ำไห้ตอนหกล้ม สายตามองหาแม่
หญิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นไกลแสนไกล ...
ผมกำลังจะร้อง ... เรียกอีกครั้ง ...
"แม่อยู่นี่จ่ะลูก"
อ้อมกอดอบอุ่นคว้าผมเอาไว้จากความสับสน
------- (๓) -------
บางทีใครคนนั้น อาจกำลังร้องเรียกแม่อยู่ก็ได้
และบางที ... แม่ของเธอคงกำลังเดินทางกลับมา
จากอีกโลกที่ไกลแสนไกล ...
ไม่รู้ทำไม --- ใจมันบอกว่า "ผมจะดูแลคุณเอง"
มาหลบข้างหลังผมสิ
------- (๔) --------
พูดสิ "ผมกำลังฟังคุณอยู่"
------- (ตื่น // ฝัน // คล้ายกันที่แตกต่าง) -------
ผมตื่นแล้วหรือยังนะ เหงื่อไหลท่วมไปหมด ยัยเฉิ่มนั่นโทรมาหาผมเหรอเนี่ย "ไม่มีหนิ" โธ่เอ๊ย ... นึกว่าจะได้เอาโหลไปให้เธอแล้ว
ผมก้าวขาลงจากที่นอน อาณาจักรของความฝันกับโลกแห่งความเป็นจริงตัดขาดกันนับแต่นี้ ... ชุดทำงานที่รีดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนถูกแขวนเอาไว้ มันเรียบร้อยดี ของทุกชิ้นอยู่ที่ของมัน โอเค ผมจะไปอาบน้ำละนะ
"บรื๋ออออออออออ !! หนาวเป็นบ้า เมื่อคืนฝนตกอีกแล้วละสิ" ผมถูสบู่พลางคิดถึงเรื่องของเธอ ถึงผมจะไม่ได้อ่านจนหมดทุกแผ่นนก แต่ก็พอเดาเรื่องความทุกข์ทรมานของเธอออก หากแต่ไม่รู้จะช่วยเธอได้อย่างไร เพราะแม้แต่เบอร์ติดต่อผมยังไม่มี ชื่อของเธอผมก็ยังไม่รู้เลย ...
แต่เนอะ เธอก็ไม่รู้ชื่อผมเหมือนกัน หึหึ ...
------- (การเดินทางอันแสนน่าเบื่อ) -------
ผมย่ำเท้าไปบนเส้นทางที่เธอกับผมเคยเดินชนกัน ... ผมไม่ได้เอาโหลนกกระดาษของเธอมาด้วย วางเอาไว้ที่บ้าน ก็นะ ใหญ่ขนาดนั้น เดินแบกไปทำงาน --- คิดภาพเอาสิ --- นั่นแหละสิ่งที่ผมจะได้รับจากการเอามันไปทำงานด้วย เพื่อนเหรอ มีที่ไหน ???
โลกเบื้องหน้าของผมยังคงชัดดี แว่น คือ สิ่งที่ผมขาดไม่ได้เหมือนเดิม หากแต่เมื่อคืนไม่ยักก่ะต้องใส่แว่นหนิ เพราะงั้นผมถึงรู้ตัวว่าผมฝันไป --- ตั้งเด็กแล้วที่ผมต้องพึ่งมัน --- ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เด็กขยันอ่านอะไรนัก --- เกิดมาสายตาสั้นทำไงได้
ผมแวะทานบะหมี่ที่ร้านเดิมดีกว่า ...
------- (เหมือนเดิม // ที่แตกต่าง) -------
"ลุงเหมือนเดิม" ผมกล่าวแบบลวกๆ
"ได้ๆ เอาเกี๊ยวมั้ย" ลุงแกถาม
"เหมือนเดิมน่ะ เคยกินที่ไหนเกี๊ยว มั่วแระ" ผมตอบกวนๆ
"โอเค วุ้นเส้นนะ" ลุงแกหยิบวุ้นเส้นลวกให้ผม
"งั้นใส่น้ำมาเลยก็ได้" ผมสั่ง
"มันก็ไม่เหมือนเดิมน่ะสิ" ลุงแกย้อน ...
"ตามใจลุงเหอะ" ผมยอม สรุปมื้อนี้ได้วุ้นเส้นโฟ
ไม่รู้ลุงแกรอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้ได้ยังไง ... น้อยนักที่จะสั่งอะไรแล้วได้กินตามใจ วันนั้นที่เดินชนกับเธอ เป็นวันมหาเฮง เพราะสั่งแล้วได้ตามใจ เพียงไม่กี่วันในชีวิต มันเหมือนเรามีอะไรต่อกันอยู่ ...
------- (เพื่อร่วมทางเดิน) -------
"หวัดดี" เสียงหวานแหบๆ ลากยาว
"อ่าวแพร ทำไร" ผมถามไป วันนี้เธอใส่สูทสีดำร่างเธอสูงโปร่ง หุ่นเหรอ นางแบบสุดๆ ผมคิด พลางยิ้ม ...
แพรเป็นเพื่อนที่ทำงาน เธอเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนที่ยอมคบผมเป็นเพื่อน ... สาวสวยที่มาพร้อมกลิ่นน้ำหอมระเรื่อจมูก คนที่มีแต่คนแย่งกันจีบ มาเป็นคนสนิทผม มันอธิบายได้ว่าทำไมผมไม่มีเพื่อน ...
"กินข้าวดิ" เธอตอบ "ลุงเอาบะหมี่เป็ด แห้งนะ"
"ได้ๆ หมูแดงนะ น้ำด้วยใช่มั้ย" ลุงแก ... ตามเคย คิ้วผมกระตุกขึ้นลง ... ฮึมมมม !!!
"ค่ะถูกแล้วล่ะคะ" แพรยอมลุงแต่โดยดีไม่ขัดขืน
เธอหันมายิ้มให้ผม มันช่างหวานหยดย้อย "ที่รัก ... " เธอพูดลอย ดูหมือนผมจะลอยคว้างไปในอากาศทั้งที่มันไม่มีลมเลยสักนิด อากาศอันแสนอบอ้าว แต่กลับรู้สึกเย็นสดชื่นเป็นที่สุด
ผมงงไปหมดแล้ว นี่มันเป็นบ้าอะไรไปหมด ผมใส่แว่นหนิ คงไม่ได้ฝันไปหรอกนะ หรือว่าฝันไป อะไรกันแน่ โธ่เอ๊ย ...
ความฝันคืออะไร คือ "เรา"
ความจริงล่ะ ยังเป็น "เรา" อยู่ไหม
หรือฉันรั้นคิดไปเอง ...
------- (๒) -------
แม่คร๊าบบบบบบ !! แม่ ... อยู่ ... ที่ไหนครับ ??
ผมสะอื้น ร่ำไห้ตอนหกล้ม สายตามองหาแม่
หญิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นไกลแสนไกล ...
ผมกำลังจะร้อง ... เรียกอีกครั้ง ...
"แม่อยู่นี่จ่ะลูก"
อ้อมกอดอบอุ่นคว้าผมเอาไว้จากความสับสน
------- (๓) -------
บางทีใครคนนั้น อาจกำลังร้องเรียกแม่อยู่ก็ได้
และบางที ... แม่ของเธอคงกำลังเดินทางกลับมา
จากอีกโลกที่ไกลแสนไกล ...
ไม่รู้ทำไม --- ใจมันบอกว่า "ผมจะดูแลคุณเอง"
มาหลบข้างหลังผมสิ
------- (๔) --------
พูดสิ "ผมกำลังฟังคุณอยู่"
------- (ตื่น // ฝัน // คล้ายกันที่แตกต่าง) -------
ผมตื่นแล้วหรือยังนะ เหงื่อไหลท่วมไปหมด ยัยเฉิ่มนั่นโทรมาหาผมเหรอเนี่ย "ไม่มีหนิ" โธ่เอ๊ย ... นึกว่าจะได้เอาโหลไปให้เธอแล้ว
ผมก้าวขาลงจากที่นอน อาณาจักรของความฝันกับโลกแห่งความเป็นจริงตัดขาดกันนับแต่นี้ ... ชุดทำงานที่รีดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนถูกแขวนเอาไว้ มันเรียบร้อยดี ของทุกชิ้นอยู่ที่ของมัน โอเค ผมจะไปอาบน้ำละนะ
"บรื๋ออออออออออ !! หนาวเป็นบ้า เมื่อคืนฝนตกอีกแล้วละสิ" ผมถูสบู่พลางคิดถึงเรื่องของเธอ ถึงผมจะไม่ได้อ่านจนหมดทุกแผ่นนก แต่ก็พอเดาเรื่องความทุกข์ทรมานของเธอออก หากแต่ไม่รู้จะช่วยเธอได้อย่างไร เพราะแม้แต่เบอร์ติดต่อผมยังไม่มี ชื่อของเธอผมก็ยังไม่รู้เลย ...
แต่เนอะ เธอก็ไม่รู้ชื่อผมเหมือนกัน หึหึ ...
------- (การเดินทางอันแสนน่าเบื่อ) -------
ผมย่ำเท้าไปบนเส้นทางที่เธอกับผมเคยเดินชนกัน ... ผมไม่ได้เอาโหลนกกระดาษของเธอมาด้วย วางเอาไว้ที่บ้าน ก็นะ ใหญ่ขนาดนั้น เดินแบกไปทำงาน --- คิดภาพเอาสิ --- นั่นแหละสิ่งที่ผมจะได้รับจากการเอามันไปทำงานด้วย เพื่อนเหรอ มีที่ไหน ???
โลกเบื้องหน้าของผมยังคงชัดดี แว่น คือ สิ่งที่ผมขาดไม่ได้เหมือนเดิม หากแต่เมื่อคืนไม่ยักก่ะต้องใส่แว่นหนิ เพราะงั้นผมถึงรู้ตัวว่าผมฝันไป --- ตั้งเด็กแล้วที่ผมต้องพึ่งมัน --- ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เด็กขยันอ่านอะไรนัก --- เกิดมาสายตาสั้นทำไงได้
ผมแวะทานบะหมี่ที่ร้านเดิมดีกว่า ...
------- (เหมือนเดิม // ที่แตกต่าง) -------
"ลุงเหมือนเดิม" ผมกล่าวแบบลวกๆ
"ได้ๆ เอาเกี๊ยวมั้ย" ลุงแกถาม
"เหมือนเดิมน่ะ เคยกินที่ไหนเกี๊ยว มั่วแระ" ผมตอบกวนๆ
"โอเค วุ้นเส้นนะ" ลุงแกหยิบวุ้นเส้นลวกให้ผม
"งั้นใส่น้ำมาเลยก็ได้" ผมสั่ง
"มันก็ไม่เหมือนเดิมน่ะสิ" ลุงแกย้อน ...
"ตามใจลุงเหอะ" ผมยอม สรุปมื้อนี้ได้วุ้นเส้นโฟ
ไม่รู้ลุงแกรอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้ได้ยังไง ... น้อยนักที่จะสั่งอะไรแล้วได้กินตามใจ วันนั้นที่เดินชนกับเธอ เป็นวันมหาเฮง เพราะสั่งแล้วได้ตามใจ เพียงไม่กี่วันในชีวิต มันเหมือนเรามีอะไรต่อกันอยู่ ...
------- (เพื่อร่วมทางเดิน) -------
"หวัดดี" เสียงหวานแหบๆ ลากยาว
"อ่าวแพร ทำไร" ผมถามไป วันนี้เธอใส่สูทสีดำร่างเธอสูงโปร่ง หุ่นเหรอ นางแบบสุดๆ ผมคิด พลางยิ้ม ...
แพรเป็นเพื่อนที่ทำงาน เธอเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนที่ยอมคบผมเป็นเพื่อน ... สาวสวยที่มาพร้อมกลิ่นน้ำหอมระเรื่อจมูก คนที่มีแต่คนแย่งกันจีบ มาเป็นคนสนิทผม มันอธิบายได้ว่าทำไมผมไม่มีเพื่อน ...
"กินข้าวดิ" เธอตอบ "ลุงเอาบะหมี่เป็ด แห้งนะ"
"ได้ๆ หมูแดงนะ น้ำด้วยใช่มั้ย" ลุงแก ... ตามเคย คิ้วผมกระตุกขึ้นลง ... ฮึมมมม !!!
"ค่ะถูกแล้วล่ะคะ" แพรยอมลุงแต่โดยดีไม่ขัดขืน
เธอหันมายิ้มให้ผม มันช่างหวานหยดย้อย "ที่รัก ... " เธอพูดลอย ดูหมือนผมจะลอยคว้างไปในอากาศทั้งที่มันไม่มีลมเลยสักนิด อากาศอันแสนอบอ้าว แต่กลับรู้สึกเย็นสดชื่นเป็นที่สุด
ผมงงไปหมดแล้ว นี่มันเป็นบ้าอะไรไปหมด ผมใส่แว่นหนิ คงไม่ได้ฝันไปหรอกนะ หรือว่าฝันไป อะไรกันแน่ โธ่เอ๊ย ...
------ (จบตอน) -------
วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ความแปรปรวนของ "อากาศ" ตอนที่ ๔
------- (๑) -------
เรื่องใหญ่ เกิดจากเรื่องเล็ก ที่หลอมรวม
ปาฏิหารย์ เกิดจากละอองของความหวัง ที่สะสม
บทกวี เกิดจากตัวอักษร ที่วางเรียงกันผ่าน "อารมณ์"
"รัก" เกิดจากสองเรา
มันไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด ...
------- (๒) -------
คำพูดนับล้านที่โปรยปรายในสายลม คือคำอธิษฐาน
บางที ตัวหนังสือเหล่านั้นคงล่องลอยไปในอากาศ
บางที "ระยะทางจากฉันถึงดาวศุกร์" อาจใกล้นิดเดียว
พูดสิ "ฉันกำลังฟังเธออยู่"
------- (เรื่องเล่าของเด็กสาว // ดวงดาวผู้อารี) -------
พ่อของฉันจากไปแล้ว กาลเวลาหยุดนิ่งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจากในรูปแล้วฉันไม่เคยเห็นท่านเลย แม่คือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ฉันมี ตอนนั้นตัวฉันไม่ใหญ่ ชอบอาศัยอยู่บนหลังแม่เป็นชีวิตจิตใจ ทุกค่ำคืนก่อนนอน แม่จะพาฉันออกไปนอกบ้าน
"เราสอง" เดินไปบนทุ่งหญ้าผ่านขาคู่เดียวกัน
"นั่นอะไรอ่าคะ" ฉันอ้อมแอ้ม
"คุณดาวศุกร์จ่ะลูก" แม่อ้อมแอ้มล้อเลียนฉัน ฉันยิ้มละมุน แม่ก็ยิ้มละไม
"คุณดาวศุกร์" ตาของฉันเห็นแสงวิบวับ
"สวยจังค่ะแม่ .........." สิ้นเสียง หนังตาของฉันหนักอึ้ง เคลิ้มหลับไปในที่สุด
"พันราตรี" ชื่อของฉัน แม่ตั้งให้ตั้งแต่เกิด เพราะเรานอนดึกด้วยกันทั้งคู่ ถ้าหากคืนไหนไม่ได้ออกมาเดินดูดาวนอกบ้านแล้วล่ะก็ ฉันก็จะไม่ยอมนอน แม่จึงตั้งชื่อนั้นให้กับฉัน มันหมายถึงราตรีนับพันที่เราสองแม่ลูกผ่านไปด้วยกัน
ฉันเป็นเด็กไม่ใคร่มีเพื่อน พูดน้อย และคิดช้า ชอบถูกเพื่อนแกล้งบ่อยๆ ซึ่งที่หลบภัยเพียงที่เดียวที่ฉันนึกถึงก็คือ "ที่หลังของแม่"
ตอนนี้แม่หลับอยู่บนเตียงคนไข้ คงเหลือสองเท้าบนผืนหญ้าผืนเดิม ไม่ใช่ใครคนไหน ... หากแต่เป็นฉัน ฉันที่กำลังกอดตัวเอง ผ่ายผอมไปหมดเพราะขาดคนป้อนความรักความอาทร
"แม่จ๋า ... หนูอยากอาศัยอยู่ที่หลังของแม่เหมือนวันวานจัง" ฉันร้องครวญ โอดโอยกับชะตากรรม รู้สึกเหลือเกินว่ามันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ...
พูดสิ "ฉันกำลังฟังเธออยู่"
------- (ความเสียใจยิ่งใหญ่ // ในหยดน้ำตาหยดเล็กๆ) -------
ต้นไม้รอบข้างเป็นใจ โบกกายไหวไปมา "คุณดาวศุกร์จ๋าาาาาา" น้ำใสจากสองตาอาบแก้มของฉัน มือที่กอดตัวเองยิ่งโอบแน่นขึ้น
ฉันสะอื้น สะเทือนใจเพราะภาพแผ่นหลังที่ฉันเคยเฝ้าอาศัยเป็นที่เร้นกาย บัดนี้มันช่างเลือนลาง จางลงไป หัวไหล่ของฉันสั่นสะท้านไปหมดแล้ว ค่ำนี้ใครจะส่งฉันเข้านอน เมื่อหนังตาของฉันหนักอึ้ง ... ไปด้วยน้ำตา
------- (ถ้อยคำ // อธิษฐาน // นกกระดาษ) -------
ทุกคำคร่ำครวญของฉันถูกพับใส่ขวดโหล จะมีคนอ่านมันไหม จะมีคนเห็นมันบ้างไหมนะ ... บางทีฉันอาจต้องการใครสักคน ที่จะพาฉันผ่านเรื่องนี้ไปได้ "เหมือนที่แม่เคยทำ"
ตอนนี้โหลคำอธิษฐานของฉันเต็มแล้ว ฉันจะเอาไปให้แม่ วางเอาไว้ที่ตรงหัวนอนของท่าน ยามหลับฝันก็จะได้มีคำอธิฐานของฉันคอยปกป้อง ไม่ต้องเจอกับฝันร้ายใดๆ
------- (การเดินทาง) -------
ฉันออกจากบ้าน อุ้มโหลแก้วไว้ด้วยสองแขน เดินไประวังไป กลัวในใจว่ามันจะแตก พลางนึกถึงภาพของค่ำคืนนี้
"แม่ไม่ต้องอยู่คนเดียวแล้วนะจ๊ะ ประเดี๋ยวคำอธิฐานของหนูจะอยู่เป็นเพื่อนแม่เอง"
ระหว่างทางกำลังจะข้ามถนน ขณะรอสัญญาณไฟแดง ...
โครม ------- !!
โหลแก้วของฉันปลิวไปในอากาศ ล่องเคว้งท่ามกลางความงุนงง ...
เพล้งงง ------- !!
มันแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ นกกระดาษของฉันไหลนองกองกับพื้นแฉะๆ หลังฝนตก ฉันพูดอะไรไม่ออกทั้งนั้น ก้มกายลงเก็บสุดความสามารถ ...
เขาคนนั้น เดินจากไป ... อย่างไม่เหลียวแล "โดนแกล้งอีกแล้วซินะ" คราวนี้ฉันจะไม่ยอมให้ใครแกล้งอีกแล้ว เพราะไม่มีแผ่นหลังของแม่ให้ฉันหลบอีกต่อไป
เขาบีบนิ้วมือฉันเพื่อห้ามเลือด เขาไม่ได้แกล้งฉัน เขาเดินฝ่าคลื่นของฝูงชนไปกับฉัน รอฉันขณะหมอทำแผล หรือเขา คือ "คุณดาวศุกร์" ------- ???
------- (ห้องเหลี่ยม // โรงพยาบาล) -------
แม่คะหนูขอโทษด้วยนะคะ หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหนูถึงไม่ยอมกลับไปหาขวดโหลใบนั้น เขาจะเป็นคุณดาวศุกร์ของหนูหรือเปล่านะ คนคนนั้นที่รับรู้ถึงคำอธิษฐานของหนู ... ตอนนี้หนูสับสนไปหมดแล้วค่ะ แม่ช่วยบอกหนูทีได้ไหมคะ ... นะแม่นะ ...
แม่บีบ ... ที่มือของฉันเบาๆ ฉันต้องทำอะไรบางอย่าง --- !! --- เหมือนแม่จะบอกอย่างนั้น ...
พูดสิ "ฉันกำลังฟังเธออยู่" ...
------- (จบตอน) -------
เรื่องใหญ่ เกิดจากเรื่องเล็ก ที่หลอมรวม
ปาฏิหารย์ เกิดจากละอองของความหวัง ที่สะสม
บทกวี เกิดจากตัวอักษร ที่วางเรียงกันผ่าน "อารมณ์"
"รัก" เกิดจากสองเรา
มันไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด ...
------- (๒) -------
คำพูดนับล้านที่โปรยปรายในสายลม คือคำอธิษฐาน
บางที ตัวหนังสือเหล่านั้นคงล่องลอยไปในอากาศ
บางที "ระยะทางจากฉันถึงดาวศุกร์" อาจใกล้นิดเดียว
พูดสิ "ฉันกำลังฟังเธออยู่"
------- (เรื่องเล่าของเด็กสาว // ดวงดาวผู้อารี) -------
พ่อของฉันจากไปแล้ว กาลเวลาหยุดนิ่งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจากในรูปแล้วฉันไม่เคยเห็นท่านเลย แม่คือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ฉันมี ตอนนั้นตัวฉันไม่ใหญ่ ชอบอาศัยอยู่บนหลังแม่เป็นชีวิตจิตใจ ทุกค่ำคืนก่อนนอน แม่จะพาฉันออกไปนอกบ้าน
"เราสอง" เดินไปบนทุ่งหญ้าผ่านขาคู่เดียวกัน
"นั่นอะไรอ่าคะ" ฉันอ้อมแอ้ม
"คุณดาวศุกร์จ่ะลูก" แม่อ้อมแอ้มล้อเลียนฉัน ฉันยิ้มละมุน แม่ก็ยิ้มละไม
"คุณดาวศุกร์" ตาของฉันเห็นแสงวิบวับ
"สวยจังค่ะแม่ .........." สิ้นเสียง หนังตาของฉันหนักอึ้ง เคลิ้มหลับไปในที่สุด
"พันราตรี" ชื่อของฉัน แม่ตั้งให้ตั้งแต่เกิด เพราะเรานอนดึกด้วยกันทั้งคู่ ถ้าหากคืนไหนไม่ได้ออกมาเดินดูดาวนอกบ้านแล้วล่ะก็ ฉันก็จะไม่ยอมนอน แม่จึงตั้งชื่อนั้นให้กับฉัน มันหมายถึงราตรีนับพันที่เราสองแม่ลูกผ่านไปด้วยกัน
ฉันเป็นเด็กไม่ใคร่มีเพื่อน พูดน้อย และคิดช้า ชอบถูกเพื่อนแกล้งบ่อยๆ ซึ่งที่หลบภัยเพียงที่เดียวที่ฉันนึกถึงก็คือ "ที่หลังของแม่"
ตอนนี้แม่หลับอยู่บนเตียงคนไข้ คงเหลือสองเท้าบนผืนหญ้าผืนเดิม ไม่ใช่ใครคนไหน ... หากแต่เป็นฉัน ฉันที่กำลังกอดตัวเอง ผ่ายผอมไปหมดเพราะขาดคนป้อนความรักความอาทร
"แม่จ๋า ... หนูอยากอาศัยอยู่ที่หลังของแม่เหมือนวันวานจัง" ฉันร้องครวญ โอดโอยกับชะตากรรม รู้สึกเหลือเกินว่ามันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ...
พูดสิ "ฉันกำลังฟังเธออยู่"
------- (ความเสียใจยิ่งใหญ่ // ในหยดน้ำตาหยดเล็กๆ) -------
ต้นไม้รอบข้างเป็นใจ โบกกายไหวไปมา "คุณดาวศุกร์จ๋าาาาาา" น้ำใสจากสองตาอาบแก้มของฉัน มือที่กอดตัวเองยิ่งโอบแน่นขึ้น
ฉันสะอื้น สะเทือนใจเพราะภาพแผ่นหลังที่ฉันเคยเฝ้าอาศัยเป็นที่เร้นกาย บัดนี้มันช่างเลือนลาง จางลงไป หัวไหล่ของฉันสั่นสะท้านไปหมดแล้ว ค่ำนี้ใครจะส่งฉันเข้านอน เมื่อหนังตาของฉันหนักอึ้ง ... ไปด้วยน้ำตา
------- (ถ้อยคำ // อธิษฐาน // นกกระดาษ) -------
ทุกคำคร่ำครวญของฉันถูกพับใส่ขวดโหล จะมีคนอ่านมันไหม จะมีคนเห็นมันบ้างไหมนะ ... บางทีฉันอาจต้องการใครสักคน ที่จะพาฉันผ่านเรื่องนี้ไปได้ "เหมือนที่แม่เคยทำ"
ตอนนี้โหลคำอธิษฐานของฉันเต็มแล้ว ฉันจะเอาไปให้แม่ วางเอาไว้ที่ตรงหัวนอนของท่าน ยามหลับฝันก็จะได้มีคำอธิฐานของฉันคอยปกป้อง ไม่ต้องเจอกับฝันร้ายใดๆ
------- (การเดินทาง) -------
ฉันออกจากบ้าน อุ้มโหลแก้วไว้ด้วยสองแขน เดินไประวังไป กลัวในใจว่ามันจะแตก พลางนึกถึงภาพของค่ำคืนนี้
"แม่ไม่ต้องอยู่คนเดียวแล้วนะจ๊ะ ประเดี๋ยวคำอธิฐานของหนูจะอยู่เป็นเพื่อนแม่เอง"
ระหว่างทางกำลังจะข้ามถนน ขณะรอสัญญาณไฟแดง ...
โครม ------- !!
โหลแก้วของฉันปลิวไปในอากาศ ล่องเคว้งท่ามกลางความงุนงง ...
เพล้งงง ------- !!
มันแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ นกกระดาษของฉันไหลนองกองกับพื้นแฉะๆ หลังฝนตก ฉันพูดอะไรไม่ออกทั้งนั้น ก้มกายลงเก็บสุดความสามารถ ...
เขาคนนั้น เดินจากไป ... อย่างไม่เหลียวแล "โดนแกล้งอีกแล้วซินะ" คราวนี้ฉันจะไม่ยอมให้ใครแกล้งอีกแล้ว เพราะไม่มีแผ่นหลังของแม่ให้ฉันหลบอีกต่อไป
เขาบีบนิ้วมือฉันเพื่อห้ามเลือด เขาไม่ได้แกล้งฉัน เขาเดินฝ่าคลื่นของฝูงชนไปกับฉัน รอฉันขณะหมอทำแผล หรือเขา คือ "คุณดาวศุกร์" ------- ???
------- (ห้องเหลี่ยม // โรงพยาบาล) -------
แม่คะหนูขอโทษด้วยนะคะ หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหนูถึงไม่ยอมกลับไปหาขวดโหลใบนั้น เขาจะเป็นคุณดาวศุกร์ของหนูหรือเปล่านะ คนคนนั้นที่รับรู้ถึงคำอธิษฐานของหนู ... ตอนนี้หนูสับสนไปหมดแล้วค่ะ แม่ช่วยบอกหนูทีได้ไหมคะ ... นะแม่นะ ...
แม่บีบ ... ที่มือของฉันเบาๆ ฉันต้องทำอะไรบางอย่าง --- !! --- เหมือนแม่จะบอกอย่างนั้น ...
พูดสิ "ฉันกำลังฟังเธออยู่" ...
------- (จบตอน) -------
"บ้านของฉัน"
------- (๑) -------
ตรงนี้สูง แต่กลับปลอดภัย ...
เวิ้งว้างแต่กลับไม่โดดเดี่ยว
ท้องฟ้ามืดดำเบื้องบน กลับแจ่มชัด
กระจ่างตาไปด้วยดวงดาว กลางราตรี
------- (๒) -------
ลำคอของพ่อคือบ้านของฉัน
ที่ซึ่งฉันสามารถเร้นกายจากบรรดาความทารุณ
หลังของพ่อคือที่ลี้ภัย
อ้อมแขนแข็งแกร่งปกป้อง ... ประคองยามล้ม
เสียงของพ่อขับไล่ความอ่อนแอ เรียกคืนศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย
ลมหายใจของพ่อ "เพื่อลูก"
------- (๓) -------
กาลเวลาผ่านไป ร่างกาย ผัน แปรสภาพ
เสื่อมสลายไปในสายลม พลัดพรากหรือ ... "ไม่"
ท่านจะอยู่ตรงนี้ "ที่ความคิดของฉัน"
ที่ลมหายใจเข้าออกของฉัน
ที่ความรู้สึกของฉัน
ที่ความพยายามของฉัน
โปรดจำเอาไว้ใจฉัน ถึงคำสอนทุกคำของพ่อ
------- (๔) -------
วันนี้ กี่วันแล้วนะที่พ่อหลับตา ... ฉันไม่อาจจำได้
แต่น่าแปลก ... มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นชั่วโมงที่แล้ว ...
"ขออดรีนารีนสิบโดส" ---
"พร้อม เคลียร์"
ปึก ----- !!
"พ่อหลับตลอดกาล ...
คิดถึงจังผู้ชายคนที่อุ้มฉัน
"ไม่มีแม่ไม่เป็นไร พ่อจะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้เอง"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)