วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555

บันทึก ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕

"บอกมาก่อน" เธอมักจะพูดคำๆ นี้ออกมา เวลาที่เธออยากให้ผมบอกรัก มันมักจะมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย 

ขณะที่ผมกำลังกินข้าวและคิดงาน "บอกมาก่อน" ขณะที่ผมกำลังง่วงนอน "บอกมาก่อน" ขณะที่ผมกำลังตอบคำถามที่เธอเป็นคนถามเอง "บอกมาก่อน" ขณะที่กำลังเข้าห้องน้ำ ไปขี้ "บอกมาก่อน" ขณะที่กำลังเล่นเกมส์ และตัวละครของผมกำลังจะตาย "บอกมาก่อน" งานศพญาติกำลังฟังพระสวด "บอกมาก่อน"

ให้ตายสิ นี่เธอจะขาดความอบอุ่นอะไรขนาดนั้น บางทีฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเธอเท่าไหร่

ผม : อ้อต้องไปทำงานที่ไม่ได้เป็นหน้าที่อ้อ ไม่งั้นอ้อก็จะเครียด เพราะทุกงานก็จะมาลงที่อ้อ อ้อจะเป็นทางเลือกของคนที่ไม่อยากทำงานของตัวเอง ถ้าอ้อจะโดนไล่ออกเพราะอ้อทำในสิ่งที่ถูก ...

อ้อ : บอกมาก่อน !?!

ผม : ไรของแกเนี่ย ??

อ้อ : บอกเค้ามาก่อน แกรู้อยู่แล้วนี่

ผมกลอกตาด้วยความเซ็ง ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ฟังที่ผมพูดอยู่รึเปล่า ทำไมน่ะเหรอ เพราะถ้าเธอไม่ฟัง มันก็จะเกิดปัญหาเดิม และเธอก็จะมาปรึกษาเรื่องเดิมกับผมอีก และผมก็จะพูดเรื่องเดิม 

กระนั้นผมก็รู้ว่าปัญหาทุกอย่างของเธอมันจะหายไป เมื่อเธออยู่ใกล้ผม เธอไม่ต้องการทางแก้มันด้วยซ้ำ เธอพอใจแค่ได้ยินเสียงผมพูดอะไรบางอย่าง เธอไม่จำเป็นต้องเข้าใจมันก็ได้ และสิ่งที่เธอต้องการมีเพียงสิ่งเดียว เธอรู้ว่ามันทรงพลังมาเพียงพอที่จะทำให้เธอผ่านทุกสิ่งไปได้ เธอมั่นใจในสิ่งหนึ่ง เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น และเธอไม่ต้องการอะไรอีก มันคือคำสั้นๆ ที่เรียกว่า "รัก" 

ตอนนั้นผมไม่ได้บอกเธอไปว่าผมรู้สึกอย่างไร แต่แน่นอนผมไม่ลืม ผมเก็บเอามันมาคิด ใคร่ครวญอย่างดี และผมเห็นภาพ 

ผม : 'เหลือคำสุดท้ายแกไม่กินอ่ะ' ผมพูดขณะที่เธอตักคำสุดท้ายใส่ช้อน และพยายามจะป้อนผม เธอรบเร้าจนออกแนวน่ารำคาญด้วยซ้ำ

อ้อ : 'ไม่อ่ะ เค้าอยากให้แกกิน' เธอตอบมันออกมาอย่่างที่เธอไม่ต้องคิด เธอมักจะบอกว่าเธออิ่มแล้ว ทั้งที่จริงๆ แล้วผมรู้ดีกว่าใครว่าที่เธอทำก็เพียงเพราะอยากให้ผมได้กินสิ่งที่ผมอยากกิน 

นั่นคือเธอมักจะไม่สบายใจถ้าต้องเห็นผมไม่ได้กิน ซึ่งผมกินส่วนของผมหมดไปแล้ว แต้เธอก็ยื่นส่วนของเธอให้ผมอย่างไม่ลังเล 

ผม : 'แกกินเกี๊ยวไปกี่ชิ้นแล้ว ??' ผมถามด้วยความโกรธ

อ้อ : เค้ากินไป ๒ ชิ้น

ผม : 'แกแน่ใจนะ !! ทำไมแกไม่สลับกันกินกับชั้นอ่ะ ชั้นอยากกินนะเว้ย' ผมตะคอกเธอกลางร้าน เธอร้องไห้ และเดินจากไป

ผมคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้อยู่ทั้งคืน ผมนอนพลิกตัวไปมาท่ามกลางความเดียวดายของราตรี ภาพเหล่านั้นทำลายความเงียบเหงาและทำให้ผมเป็นสุขสงบเมื่อผมรู้ว่าคนไม่ดีอย่างผมได้มีโอกาสเป็นแฟนกับนางฟ้า รักคือสิ่งที่ทำให้เราดำรงอยู่ สำหรับผมเธอเหนือกว่าใครๆ ในโลกนี้จะหาคนรักผมเท่าเธอคงไม่มี และให้ตายสิ !! ถ้าผมตาดูดีๆ เธอจะอยู่ที่เดิม รอคอยที่จะป้อนผมเหมือนวันวาน โดยไม่ต้องพึ่งพาคำสัญญาใดๆ ไม่ต้องพึ่งพาพันธนาการใดๆ ทั้งสิ้น เพราะความรักคืออิสระภาพ

ผมตื่นมาตอนเช้าและพิมพ์ข้อความหนึ่งในใจของผมเพื่อส่งไปให้เธอ ผมพูดว่า "ช่่าย ฉันรักแก" หนึ่งคำสั้นๆ ที่ผมใคร่ครวญมาแล้วอย่างดีแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2555

บันทึก ๑๕ เมษายน ๒๕๕๕

วันนี้เดินทางออกมาด้วยใจที่กลัวเปียกสุดๆ แต่ก็ได้เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าหากจะต้องเปียกก็ขอเปียกอย่างสมศักดิ์ศรี ไว้ลายชายชาตรีให้สมกับที่อุส่าห์เกิดมาเป็นคน

พอเดินออกจากบ้านก็ไปขึ้นรถกระป๊อ หวังจะเดินทางไปให้ถึงที่ทำงานอันเป็นที่มั่น ในใจก็ยังคงกลัวตุ๊มๆ ต่อมๆ อยู่ว่าจะมีใครเขาสาดน้ำมาให้ประหลาดใจหรือเปล่า อารมณ์เหมือนเข้าบ้านผีสิงเลย

ในอ้อมแขนกอดกำเป่สะพายสีม่วงแป๋นแหลนเอาไว้สุดกำลัง ขณะที่นั่งอยู่นั่นก็เห็นเจ๊คนหนึ่ง เธอขึ้นมาบนรถพร้อมกับนกสองตัว มันเป็นนกหงษ์หยกสีเขียวกับสีเหลือง ขาของพวกมันเล็กนิดเดียวเอง 

เจ๊ขึ้นมานั่งหน้า ส่วนฉันนั่งอยู่ด้านหลัง รถว่างขนาดนี้ฉันเห็นเจ๊เขาได้ถนัดตา นกสองตัวนั้นโยกตัวไปมาพลางส่งเสียงแหลมๆ ตามจังหวะกระแทกของรถ ถนนแถบนี้เรียบซะที่ไหน ใครๆ ก็รู้ ทางการเขามาขุดเอาไว้ หลังจากนั้นก็เอาแผ่นเหล็กวางเพื่อปิดที่ขุด เขาไม่เคยมากลบหลุมนั้นเลย คงจะคิดสภาพล้อเล็กๆ บนถนนที่เต็มไปด้วยแผ่นเหล็กออกนะ คงจะคิดสภาพของนกสองตัวนั้นออกด้วย

มันร้องเสียงหลงยามที่ต้องกระแทบ แม้มุมที่ฉันมองเห็นจะชัดมาก แต่พวกมันก็คราดสายตาไปแล้ว เพราะมันลงไปหลบอยู่ที่ตัก ของเจ๊คนนั้น

ฉันจึงมีเวลาว่างพอที่จะคิดกับตัวเอง ติดถึงเรื่องราวของนกหงษ์หยกที่ฉันเคยเลี้ยงบ้าง มันเชื่องซะที่ไหนล่ะ ให้ตาย ใครว่ามันเชื่องก็ว่าไปเหอะ ฉันคนนึงล่ะที่คิดว่าไม่

ฉันชื้อมันมาจากจตุจักร มันเป็นนกหงษ์หยกที่สวยทีเดียว ทีแรกอยากได้พันธ์อังกฤษ แต่ไม่มีเงินซื้อ เพราะตอนนั้นกว่าจะเก็บค่าขนมได้สักร้อยมันยากมากเลย เลยลงเลยที่มันนี่แหละ ฉันกับพี่ชายถือมันมาในกรงสีฟ้า ทุกอย่างที่ต้องใช้เลี้ยงมันมีพร้อม ยกเว้นอาหาร เพราะเจ้าของร้านบอกว่าอย่าเพิ่งให้มันกิน มันกินมาเยอะแล้วเดี๋ยวจะพุงแตกตาย ตัวนี่กินจุมาก นิสัยก็ประหลาด แน่ใจนะจะเอา ฉันต่อไปว่า "ผมอยากได้ ผมเอาครับ"

ระหว่างการเดินทางมันไม่มีทีท่าตื่นตกใจเลย มันเป็นนกนิ่งๆ ออกแนวเฉยเมย เป็นนกที่ช่างไม่มีไฟเอาซะเลย ฉันมองมันแล้ว นอกจากความสวย มันช่างไร้ประโยชน์จริงๆ 

เมื่อถึงที่บ้านฉันเกรงว่ามันจะหิว เลยเปิดกรงออกมาเล็กน้อย เพื่อเอาอาหารให้มันทันใดนั้นเองมันก็บินออกจากกรง เหมือนว่าเตรียมการเอาไว่แล้ว แต่มันก็ได้แต่บินวนอยู่ในบ้าน ฉันร้องเรียกมันว่า "มานี่ๆ" มันก็ร้องจิ๊บๆ สวนกลับมา เอาล่ะ เจอกันหน่อย

(อ่านต่อวันพรุ่งนี้นะ ไปทำงานก่อน เดี๋ยวจะโดดมาเขียนให้อ่านใหม่)

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

สบายใจดีมั้ย ??

ตอนเช้าเป็นเวลาสบายใจดี ตื่นมาตอนเช้าพบเจอรอยยิ้มของดวงตะวัน ท้องฟ้าสวย ฉันก็ส่งยิ้มกลับไป นกกาที่เสาไฟฟ้าส่งเสียงจิ๊บๆ เสียงอ้อแอ้ของลูกนกในรัก และความเอ็นดูของผู้เป็นแม่ โลกนี้เริ่มวันใหม่อีกครั้ง ผู้คนต่างก็เริ่มก้าวเดิน ต่างยิ้ม ต่างเดินทาง

ทำไมหลายครั้งเราทำหน้าเศร้า ทั้งๆ ที่เรายิ้มได้ ทำไมหลายครั้งเราใจร้ายนัก

โลกนี้เป็นตัวอย่างของความอารี เป็นความอาทรที่เราเห็นตรงหน้าทุกๆ วัน โลกนี้บอกเราว่าเราควรจะเป็นอย่างไร อะไรคือสิ่งที่เราควรยึดเอาไว้ มันไม่ใช่เสน่ห์ลวงตา มันไม่ใช่เงินทองหรือสิ่งนอกกาย มันไม่ใช่อะไรที่เราคิดว่ามันมีอยู่จริงเลยสักอย่าง

หากเวลาหมุนผ่านไป หากหัวใจเราค่อยเต้นช้าลงจนหยุด เราจะฝากอะไรเอาไว้ ระหว่าง รอยยิ้ม หรือ น้ำตาแห่งการคร่ำครวญ