ผมสับสนเหลือเกิน ระหว่างทางเลือกที่จะเดินเข้าไปถามทางใครบางคน หรือจะแบกอีโก้ตัวเองเดินต่อไป หนทางข้างหน้าแสนพิศวง มันเป็นซอยแคบๆ ที่ยิ่งเดินก็ยิ่งไกล ยิ่งไกลก็ยิ่งเหนื่อย แต่ก็ยิ่งอยากเอาชนะ ไม่รู้จะพิสูจน์ความแข็งแกร่งอะไรกันนักหนา
ผมจะเดินไปไหนผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ น่าแปลกที่กลับรู้สึกตื่นเต้น ดีแล้วล่ะ ...
ร้านไก่ทอดห้าดาวอยู่เยื้องไปทางซ้าย ผมอ่านป้ายขณะที่ในอ้อมแขนก็กอดกระดาษเอสี่รียูสไว้แน่น 'เดี๋ยวนี้เขาไม่มีไก่ย่างห้าดาวแล้วเหรอเนี่ย'
"พี่ครับ"
"น้องวางก่อนก็ได้ครับ" คนขายชี้มือไปทางพื้นที่ว่างบนรถขายไก่ ผิวโลหะเรียบๆ ชวนผมให้วางกระดาษเอสี่ใช้แล้วสองรีมลงไป มันเป็นระเบียบดีจังชอบ ... !!
"พี่เอาชิ้นนนี้" ผมเลือก ไม่ต้องเรียกว่าเลือกดีกว่า ผมชี้ไปส่งๆ
"ได้ๆ เดี๋ยวพี่หั่นให้"
"พี่ซอยนี้ไปสุดที่ไหนอ่ะ"
"โห ... น้อง บางนานู่นแน่ะ น้องจะไปไหนอ่ะ"
"ผมจะไปลาดพร้าว"
"เดินออกไปทางซอยหน้า เลี้ยวขวาแล้วเดินไปเรื่อยๆ จะเจอช่องสาม แล้วน้องก็ต่อรถไป"
"ครับพี่ ... ผมนั่งกินตรงนี้ได้มั้ย"
"ได้ๆ เด๋วพี่ไปเอาเก้าอี้มาให้ เอาข้าวเหนียวด้วยมั้ย"
"ไม่เอาอ่ะพี่ ไม่ค่อยหิว เท่าไหรครับ"
"สามสิบหกบาท"
"นี่ครับพี่"
ผมนังลงบนเก้าอี้พลาสติกสีแดง ขอบคุณตัวเองที่อีโก้ไม่มากนัก ไม่งั้นคงต้องเดินไปบางนา ผมกัดไก่ร้อนๆ ทีละคำ อร่อยทีเดียว ... 'ในเวลาแบบนี้ มันอร่อยทีเดียว'
ผมยิ้มเยาะเย้ยให้กับความลำบาก เดินโง่มาไกลหลายกิโลฯ เพื่อกลับมาจุดเดิม มันไม่ได้ไปไหนเลย เสียทั้งเวลาทั้งเงินที่มีอยู่เพียงติดกระเป๋า
"ขอบคุณมากครับพี่" ผมบอกที่ชายคนนั้นไป พลางกอดกระดาษรียูส เดินผ่าความมึนงงของบรรยากาศที่ไม่คุ้นชิน เดินฝ่ากลุ่มเด็กแว้นที่ไม่รู้ว่ามันจะปล้นเราหรือไม่ ผมสูดลมหายใจ แล้วเดินไปสักพัก ... ก็เจอช่องสาม เจอป้ายรถเมล์ มองเห็นความหวังที่จะได้กลับบ้าน 'ใกล้จะได้วางภาระอันหนักอี้งแล้ว'
"ลุงครับถ้าผมจะไปลาดพร้าวผมจะนั่งรถสายอะไรดีครับ" ผมออกแรงถามด้วยความอ่อนแรง
"ลุงก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ลุงไม่ค่อยถนัดเรื่องรถเมล์ แต่ถ้าถามทางละก็ทางซ้ายมือก็จะไปทางบางนา แต่ถ้าไปทางขวาก็จะไปรามคำแหง"
ผมหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง
"ลุงครับระหว่างนั่งรถไปสามย่าน แล้วต่อรถไปรัชดาแล้วเข้าลาดพร้าว กับวกไปทางรามคำแหงผ่านบางกะปิแล้วเข้าลาดพร้าวอันไหนใกล้กว่าครับ"
"อันนี้ลุงก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ปกติทางนั้นลุงไม่ค่อยชำนาญเท่าไหร่"
ผมหยุดคิดอีกครู่ใหญ่
"ผมได้คำตอบแล้วล่ะครับ"
"ไปทางไหนล่ะ"
"ผมจะไปสามย่านแล้วนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปครับ"
"อ้อ ... แบบนั้นก็ได้นะ นั่นไงมาพอดี สายสี่สิบห้า"
"คันนี้เหรอครับ"
"ใช่"
"ผมลาแล้วนะครับ ขอบคุณลุงมากๆ นะครับ"
"เออๆ เอ้าๆ โชคดีนะ"
ภาพของเด็กแว้นที่มองเราด้วยท่าทางเอาเรื่องไม่มีอยู่ในหัว ภาพของสังคมที่หวาดระแวงกันก็ไม่มีอยู่ในหัว มันถูกแทนที่ด้วยภาพของชายที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมีช่วงเวลา 'ฉกรรจ์' วันนี้กลางความยากลำบากมีชายแก่ธรมดาคนหนึ่งที่ตอบคำถามของเราด้วยความอารี และเอื้อความอาทรมาให้
ในที่สุด ...
ความไม่สบายใจของผมก็สลายไป มันหายไปเฉยๆ อย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล คนแก่คนนี้เป็นที่พักพิงให้กับผม ทั้งที่เราไม่รู้จักกัน แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่าเขากอดผมเอาไว้ ผมกลายเป็น 'ไอ้หลานชาย' ของเขา
และผมก็ไม่ได้อยู่คนเดียว ... ไม่ได้เดินท่ามกลางภยันตรายเหมือนอย่างที่คิด
ประเทศเราเป็นประเทศที่เรียกคนที่ไม่รู้จักเหมือนคนในครอบครัว กับวัยรุ่นวัยเดียวกันก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรมาก แต่เมื่อลองเรียกคนที่อายุประมาณสักห้าสิบขึ้นไป ผมอธิบายมันไม่ได้เลยจริงๆ
อบอุ่น สวยงาม เหมือนสายลมพักเข้ามาให้ใจ เหมือนความกระหายได้ถูกเติมเต็มโดยคนแปลกหน้า ผมไม่ได้พูดคำว่าขอบคุณด้วยความวาบซึ้งเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ
อะไรๆ รอบตัวก็ยากลำบาก มันเป็นเพราะเราคิดว่าเราอยู่คนเดียว เมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดว่าเราอยู่โดยลำพังก็ก็จะอ่อนแอ แต่ถ้าเรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวล่ะ
ถ้า ...
เรารู้ว่ามีใครบางคนที่จะไม่ยอมปล่อยมือเราแน่ๆ ถ้าเรารู้ว่ายังมีคนเคียงข้างเรา มีต้นไม้ใหญ่ที่คอยเป็นร่มเงาให้เราได้พักพิง และให้ความรู้สึกร่มเย็นกับเรา ในยามใดที่เรากระวนกระวาย
ถ้า ...
เราทุกคนเป็นญาติกัน ถ้าเราเป็นพี่น้องกัน ถ้าเราไม่ได้เป็นคนที่เดินสวนกันไปมา ถ้าเรามีความหมายขึ้นมาในใจของคนคนนั้น ถ้าเขาจะมองเห็นการมีอยู่ของเรา ถ้าเราจะไม่ต้องหายใจทิ้งไปวันๆ โดยที่ไม่รู้ว่ามันจะหยุดเมื่อไหร่
ถ้าท่ามกลางบางสิ่งมีคนคนนั้นอยู่เพื่อเป็นร่มเงาให้เรา
ผมดีใจที่วันนี้เพื่อนเอากระดาษเอสี่มาให้ ดีใจที่ตัดสินใจออกไปเอา ดีใจที่ตายังไม่บอด มองเห็นเรื่องดีๆ ท่ามกลางเรื่องแย่ๆ
'ขอบคุณครับ ลุง จากผม ไอ้หลานชาย'