วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การเดินทางในกระดาษ A๔

ผมสับสนเหลือเกิน ระหว่างทางเลือกที่จะเดินเข้าไปถามทางใครบางคน หรือจะแบกอีโก้ตัวเองเดินต่อไป หนทางข้างหน้าแสนพิศวง มันเป็นซอยแคบๆ ที่ยิ่งเดินก็ยิ่งไกล ยิ่งไกลก็ยิ่งเหนื่อย แต่ก็ยิ่งอยากเอาชนะ ไม่รู้จะพิสูจน์ความแข็งแกร่งอะไรกันนักหนา

ผมจะเดินไปไหนผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ น่าแปลกที่กลับรู้สึกตื่นเต้น ดีแล้วล่ะ ...

ร้านไก่ทอดห้าดาวอยู่เยื้องไปทางซ้าย ผมอ่านป้ายขณะที่ในอ้อมแขนก็กอดกระดาษเอสี่รียูสไว้แน่น 'เดี๋ยวนี้เขาไม่มีไก่ย่างห้าดาวแล้วเหรอเนี่ย'

"พี่ครับ"

"น้องวางก่อนก็ได้ครับ" คนขายชี้มือไปทางพื้นที่ว่างบนรถขายไก่ ผิวโลหะเรียบๆ ชวนผมให้วางกระดาษเอสี่ใช้แล้วสองรีมลงไป มันเป็นระเบียบดีจังชอบ ... !!

"พี่เอาชิ้นนนี้" ผมเลือก ไม่ต้องเรียกว่าเลือกดีกว่า ผมชี้ไปส่งๆ

"ได้ๆ เดี๋ยวพี่หั่นให้"

"พี่ซอยนี้ไปสุดที่ไหนอ่ะ"

"โห ... น้อง บางนานู่นแน่ะ น้องจะไปไหนอ่ะ"

"ผมจะไปลาดพร้าว"

"เดินออกไปทางซอยหน้า เลี้ยวขวาแล้วเดินไปเรื่อยๆ จะเจอช่องสาม แล้วน้องก็ต่อรถไป"

"ครับพี่ ... ผมนั่งกินตรงนี้ได้มั้ย"

"ได้ๆ เด๋วพี่ไปเอาเก้าอี้มาให้ เอาข้าวเหนียวด้วยมั้ย"

"ไม่เอาอ่ะพี่ ไม่ค่อยหิว เท่าไหรครับ"

"สามสิบหกบาท"

"นี่ครับพี่"

ผมนังลงบนเก้าอี้พลาสติกสีแดง ขอบคุณตัวเองที่อีโก้ไม่มากนัก ไม่งั้นคงต้องเดินไปบางนา ผมกัดไก่ร้อนๆ ทีละคำ อร่อยทีเดียว ... 'ในเวลาแบบนี้ มันอร่อยทีเดียว'

ผมยิ้มเยาะเย้ยให้กับความลำบาก เดินโง่มาไกลหลายกิโลฯ เพื่อกลับมาจุดเดิม มันไม่ได้ไปไหนเลย เสียทั้งเวลาทั้งเงินที่มีอยู่เพียงติดกระเป๋า

"ขอบคุณมากครับพี่" ผมบอกที่ชายคนนั้นไป พลางกอดกระดาษรียูส เดินผ่าความมึนงงของบรรยากาศที่ไม่คุ้นชิน เดินฝ่ากลุ่มเด็กแว้นที่ไม่รู้ว่ามันจะปล้นเราหรือไม่ ผมสูดลมหายใจ แล้วเดินไปสักพัก ... ก็เจอช่องสาม เจอป้ายรถเมล์ มองเห็นความหวังที่จะได้กลับบ้าน 'ใกล้จะได้วางภาระอันหนักอี้งแล้ว'

"ลุงครับถ้าผมจะไปลาดพร้าวผมจะนั่งรถสายอะไรดีครับ" ผมออกแรงถามด้วยความอ่อนแรง

"ลุงก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ลุงไม่ค่อยถนัดเรื่องรถเมล์ แต่ถ้าถามทางละก็ทางซ้ายมือก็จะไปทางบางนา แต่ถ้าไปทางขวาก็จะไปรามคำแหง"

ผมหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง

"ลุงครับระหว่างนั่งรถไปสามย่าน แล้วต่อรถไปรัชดาแล้วเข้าลาดพร้าว กับวกไปทางรามคำแหงผ่านบางกะปิแล้วเข้าลาดพร้าวอันไหนใกล้กว่าครับ"

"อันนี้ลุงก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ปกติทางนั้นลุงไม่ค่อยชำนาญเท่าไหร่"

ผมหยุดคิดอีกครู่ใหญ่

"ผมได้คำตอบแล้วล่ะครับ"

"ไปทางไหนล่ะ"

"ผมจะไปสามย่านแล้วนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปครับ"

"อ้อ ... แบบนั้นก็ได้นะ นั่นไงมาพอดี สายสี่สิบห้า"

"คันนี้เหรอครับ"

"ใช่"

"ผมลาแล้วนะครับ ขอบคุณลุงมากๆ นะครับ"

"เออๆ เอ้าๆ โชคดีนะ"

ภาพของเด็กแว้นที่มองเราด้วยท่าทางเอาเรื่องไม่มีอยู่ในหัว ภาพของสังคมที่หวาดระแวงกันก็ไม่มีอยู่ในหัว มันถูกแทนที่ด้วยภาพของชายที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมีช่วงเวลา 'ฉกรรจ์' วันนี้กลางความยากลำบากมีชายแก่ธรมดาคนหนึ่งที่ตอบคำถามของเราด้วยความอารี และเอื้อความอาทรมาให้

ในที่สุด ...

ความไม่สบายใจของผมก็สลายไป มันหายไปเฉยๆ อย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล คนแก่คนนี้เป็นที่พักพิงให้กับผม ทั้งที่เราไม่รู้จักกัน แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่าเขากอดผมเอาไว้ ผมกลายเป็น 'ไอ้หลานชาย' ของเขา

และผมก็ไม่ได้อยู่คนเดียว ... ไม่ได้เดินท่ามกลางภยันตรายเหมือนอย่างที่คิด

ประเทศเราเป็นประเทศที่เรียกคนที่ไม่รู้จักเหมือนคนในครอบครัว กับวัยรุ่นวัยเดียวกันก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรมาก แต่เมื่อลองเรียกคนที่อายุประมาณสักห้าสิบขึ้นไป ผมอธิบายมันไม่ได้เลยจริงๆ

อบอุ่น สวยงาม เหมือนสายลมพักเข้ามาให้ใจ เหมือนความกระหายได้ถูกเติมเต็มโดยคนแปลกหน้า ผมไม่ได้พูดคำว่าขอบคุณด้วยความวาบซึ้งเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ

อะไรๆ รอบตัวก็ยากลำบาก มันเป็นเพราะเราคิดว่าเราอยู่คนเดียว เมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดว่าเราอยู่โดยลำพังก็ก็จะอ่อนแอ แต่ถ้าเรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวล่ะ

ถ้า ...

เรารู้ว่ามีใครบางคนที่จะไม่ยอมปล่อยมือเราแน่ๆ ถ้าเรารู้ว่ายังมีคนเคียงข้างเรา มีต้นไม้ใหญ่ที่คอยเป็นร่มเงาให้เราได้พักพิง และให้ความรู้สึกร่มเย็นกับเรา ในยามใดที่เรากระวนกระวาย

ถ้า ...

เราทุกคนเป็นญาติกัน ถ้าเราเป็นพี่น้องกัน ถ้าเราไม่ได้เป็นคนที่เดินสวนกันไปมา ถ้าเรามีความหมายขึ้นมาในใจของคนคนนั้น ถ้าเขาจะมองเห็นการมีอยู่ของเรา ถ้าเราจะไม่ต้องหายใจทิ้งไปวันๆ โดยที่ไม่รู้ว่ามันจะหยุดเมื่อไหร่

ถ้าท่ามกลางบางสิ่งมีคนคนนั้นอยู่เพื่อเป็นร่มเงาให้เรา

ผมดีใจที่วันนี้เพื่อนเอากระดาษเอสี่มาให้ ดีใจที่ตัดสินใจออกไปเอา ดีใจที่ตายังไม่บอด มองเห็นเรื่องดีๆ ท่ามกลางเรื่องแย่ๆ

'ขอบคุณครับ ลุง จากผม ไอ้หลานชาย'

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ถึงเธอ ... ดวงดาว

ส่งเสียงของฉันลอยไปในอากาศ
ที่ที่มีเธออยู่มันจะเป็นอย่างไร

ความเย็นของอากาศมาใกล้แล้ว
เธอจะคิดถึงใคร เธอเห็นอะไรก่อนที่จะหลับตา

ฉันอยู่ตรงนี้ ปล่อยให้เสียงเพลงกั้นเราทั้งสอง
ไม่ขัดขืนต่อสู้อะไรทั้งนั้น

ระยะทางยาวไกล แต่ความรักใหญ่กว่า ...

เด็กหญิงผู้ปาหมอน

ยังมีเด็กหญิงคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านของผม บ้านที่กาลครั้งนั้นเคยมีชายแก่คนหนึ่งอาศัยอยู่ นับตั้งแต่ชายแก่คนนั้นสิ้นลมไป ก็คล้ายว่าพระเจ้าจะประทานเด็กหญิงคนนี้มาให้ เธอเป็นมากกว่าเพื่อน เป็นมากกว่าแฟน เธอเป็น 'ยัยหมีจอมเขมือบ' คู่ชีวิตของผม

"เมื่อวานวันอะไร"

"วันศุกร์ไง แกไม่มีปฏิทินหรือไง"

"ไม่ใช่ ... เมื่อวานวันอะไร"

"เอ๊ะ ... ก็ฉันบอกว่าวันศุกร์ไง ... แกเปิดเน็ตดูก็ได้นี่"

...................................................................................................................................................................................................................... แก .............. ฉันว่าแล้ว .... แกลืมจริงๆ ด้วย ....

ความเงียบกลืนกินเราทั้งสอง หยดน้ำใสไหลอาบแก้มของเธอ ในชีวิตของเธอไม่ได้อยากให้ใครจดจำ โลกนี้ไม่ต้องรู้จักเธอก็ได้ เธอไม่ต้องมีเพื่อน ไม่ต้องคบกับใครก็ได้ มีเพียงแค่คนๆ หนึ่งที่เธออยากอยู่ในความทรงจำของเขา อยากให้เขาจำวันๆ หนึ่ง วันที่สำคัญสำหรับเธอหนึ่งวันในหนึ่งปี ... ไม่มากกว่านั้น

ทั้งๆ ที่ผมจำมันได้แต่ผมก็แกล้งลบมันออกจากความทรงจำ ผู้ชายเฉยชาอย่างผมทำลายความหวังของเธอ เขาคนนั้นเฝ้าดูมันมอดไหม้ไปตรงหน้า

"ทำไมฉันต้องมาเป็นแฟนคนอย่างแกนะ ทำไมฉันไม่ตายๆ ไปซะ ฉันขอมากไปหรือไง"

"เปล่านี่"

เราไม่พูดอะไรกันอีก ห้องที่เคยมีเสียงหัวเราะมันเงียบงันลงไปในทันที เธอกอดเข่าร้องไห้แล้วซับน้ำตามตัวเองด้วยหมอน ไม่ใช่ที่ไหล่ผมเหมือนทุกที ผมยังคงเฝ้าหมอเธออย่างใจเย็น แต่ไม่พูดอะไร เหมือนผมจะไร้ความรู้สึก แต่ก็เปล่ามันไม่ใช่อย่างนั้น ...

ผั่วะ !!

เธอฟาดหมอบลงที่โต๊ะทำงาน ข้าวของกระจาย ไปคนละทิศคนละทาง เธอซัดละอองของความแค้นเคืองให้ปลิวไปทั่วบรรยากาศห้อง เธอมองหน้าผมเหมือนเฝ้ารอบางสิ่ง ตาแดงๆ คู่นั้นยังคงรอบางสิ่ง

ชายแกล้งโง่คนหนึ่งไม่พูดอะไร

เธอเดินออกไปที่ริมระเบียงขังตัวเองอยู่ในนั้น ล๊อคประตูกอดเข่าอยู่คนเดียว ทั้งที่สิ่งที่เธอต้องการจริงๆ มันตรงกันข้าม ผมยิ้มในใจอย่าที่ชายแกล้งทั่วไปโง่พึงกระทำ

อีกนิดเดียว ....

เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำมูกไหลพักใหญ่ มันก็แห้งไปในที่สุด ผมเดินไป นั่งลงข้างๆ เธอ รั้งตัวเธอเข้ามากอดเพื่อบอกคำบางคำที่คิดมาอย่างดีแล้ว

"ไม่มีใครลืมวันเกิดแกหรอก ตอนนี้แกยี่สิบห้าแล้วนะ แต่ดูยังไงแกก็เหมือนเด็กแปดขวบอยู่ดี"

"อันที่จริงแกก็ลืมวันที่ 11 เหมือนกันนะ แต่ช่างมันเหอะ ไม่ต้องมีใครจำมันอ่ะดีแล้ว คนอวยพรเป็นพิธีน่ารำคาญจะตาย ฉันอ่ะ .... ไม่อยากทำแบบที่คนอื่นเขาทำกันหรอกนะ"

"แค่บอกว่าสุขสันต์วันเกิดมันยากนักหรือไง ฉันเป็นแฟนแกนะ"

"อืม ... ยากว่ะ ... นั่งข้างแกง่ายกว่าเยอะเลย ฉันพูดไม่ค่อยเก่งอ่ะเรื่องแบบนั้น แต่ฉันอยู่เป็นเพื่อนแกเก่งนะ เวลาแกแย่ๆ อ่ะ"

เธอมองหน้าผม ช่าย ... เธอเป็นแฟนผมยังคงเป็น และก็จะเป็นไปอีกนาย เธอเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้นที่ผมจะนั่งอยู่ข้างไปจนวันสุดท้ายของผม เรารู้จักกันมากกว่านั้น เรารักกันมากกว่าแค่ 'สุขสันต์วันเกิด' อันที่จริงเราคือคนคนเดียวกันผมสัมผัสได้ แค่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจริงๆ หรอก

ฟืดดด !!

ไหล่ของผมยังคงเป็นที่ซับน้ำตากับขี้มูกของเธออีกเช่นเคย  เวลาที่เรานั่งด้วยกันนี่แหล่งของขวัญวันเกิดที่เธอต้องการที่สุด ผมรู้ ... ชายที่พูดไม่เป็นอย่างผมรู้ข้อนี้ดี

เรายิ้มและให้เวลาครู่หนึ่งในอ้อมกอดของกันและกัน

เวลา ลมตด

------- (๑) -------

ฉัน : บนดาวของนายมีนาฬิกามั้ย

มนุษย์ต่างดาว : อะไรคือนาฬิกา

ฉัน : เครื่องบอกเวลาไง อย่าบอกนะว่าแม้แต่เวลานายก็ไม่รู้จัก

มนุษย์ต่างดาว : 'เว' อะไรนะ ได้ยินว่า 'เวยา' เวยาบนดาวของเราอ่ะ หึๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ

ฉัน : ขำบ้าอะไรของนายเนี่ย ...

มนุษย์ต่างดาว : มันแปลว่าตดน่ะ กลิ่นเหม็นๆ ที่ออกจากตูดไง

ฉัน : ที่มันลอยขึ้นมาแล้วก็หายไปป่ะ ... ฉันรู้ ... ไม่ต้องอธิบาย แหม ... ว่าแต่นายตดได้ด้วยเหรอ

------- (๒) -------

"เวลา = เท่ากับลมตด : สมการของจักรวาล"
มนุษย์ต่างดาวได้นิยามคำว่าเวลาของเราใหม่ซะแล้ว !?!

------- (๓) -------

ถ้าเราไม่ต้องตาย เราก็ไม่ต้องมีเวลา ไม่ต้องรีบทำบางอย่างให้เสร็จก่อนตาย ไม่ต้องสั่งเสีย ไม่ต้องล้างแค้นให้ใคร ... ไม่ต้องหวังกับอะไรทั้งสิ้น เรากลายเป็นความสมบูรณ์แบบ แต่ความจริงเราต้องตาย ความจริงเราเลยต้องทำบางอย่างก่อนหมดลมหายใจ

เวลาเลยไม่เท่ากับลมตดสำหรับเราบนโลกใบนี้ 'เหล่ามนุษย์ใต้ฟ้าผู้อาภัพ'

เราจึงต้องมีความหวัง จึงจำเป็นต้องมีแรงบันดาลใจ ต้องมีความฝัน มันทำให้เราต่อสู้ หายใจ และมีชีวิตรอด เราจึงนิยามความหมายของสิ่งต่างๆ เพื่อให้เราสามารถเข้าใจ รับรู้ถึงสิ่งต่างๆ และซาบซึ้งกับมัน อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาสั้นๆ ในชีวิตเรา

สิ่งที่เราไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการทำร้าย ปรักปรำ โทษตัวเอง หรือแม้แต่คิดฆ่าตัวตาย เพราะเวลาของเรานั้น 'มันสั้นอยู่แล้ว' อาจมีบางช่วงที่เราอ่อนไหว แต่มันก็จะผ่านไปในไม่ช้า ปัญหาอาจทำให้เราต้องเปลี่ยนวิธีบ้าง แต่มันไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนจุดยืน มันไม้ได้เปลี่ยนหลักการ หรือเปลี่ยนความเชื่อ เรายังคงมีตัวตน ไม่ได้กลายเป็นลมตดที่ล่อยลอยและจางหายไป

หากเราต้องเปลี่ยนวิธีการ หากเราต้องเปลี่ยนแปลงบางจุดของตัวเองก็เปลี่ยนไปเถอะ ตราบใดที่ยังรู้ตัวว่าเราเป็นใคร ในที่สุดแม้เราจะเปลี่ยนไปแค่ไหน มันก็จะกลายเป็นการพัฒนา ซึ่งต่างไปจากการเปลี่ยนแปลงอีกแบบ ในทางตรงกันข้าม ที่เรียกกันติดปากว่า 'ความเสื่อม'

ความเสื่อมมาจากการเปลี่ยนแปลงจุดยืน คือการลบตัวจนของเราออกไป กลายเป็นบางสิ่งที่ไม่มีความเชื่อ ไม่หวัง ซังกะตายกับโลก เซื่องซึมในอามรมณ์ในทุกลมหายใจ

ชีวิตเราคิดถึงบางคนได้ เรารักบางคนได้ แต่บางทีเราก็ต้องรักทีละคน

เวลาเตือนใจให้เรารู้จักรักคนอื่น ใครบางคนที่จะแวะมาทักทายเราไม่นานและจากเราไป แต่เวลาไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราลืมเขาไปจากใจ เวลานั้นคอยย้ำคำถามเดิมๆ ว่า อะไรกันแน่ที่สำคัญ อะไรกันแน่ที่เราต้องเลือก หรือใครกันแน่ที่เราจะไม่ยอมปล่อยมือไปจากเขาไม่ว่าอย่างไร

พูดมัน ทำมันซะ ก่อนที่กลิ่นของลมตดจะจางหายไป ...

"มันจะต้องไม่เป็นเรา และมันจะต้องไม่ใช่คนข้างๆ เรา"

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สเตตัส วันที่ 6 - 7 พฤศจิกายน 2554

------- (๑) -------

มึง : วันนี้วันรับปริญญานะเว้ย ท่าท่าเป็นผีตายซากไปได้ แม้ง !! เมื่อคืนหนักไปหน่อยหรือไงวะเพื่อน ---

กู : เปล่า --- มึงว่าเราทำอะไรสำเร็จในชีวิตวะ เราเลยต้องมาถ่ายรูปเนี่ย ...

มึง : ก็เรียนจบไงมึง

กู : จบแล้ว คือ สำเร็จเหรอวะ งั้นถ้ากูไม่มีความสุข ตกงาน พ่อไล่ออกจากบ้าน แฟนทิ้งหลังจากล่ะ --- สิ่งที่กูเชื่อมันเสือกกลายเป็นส่วนหนึ่งของความโง่ของกูเอง --- กูยิ้มไม่ออกว่ะ

มึง : เอาน่าอย่างน้อยแม่มึงก็ตัดชุดให้มึงเลยนะเว้ย สู้ๆ เว๊ย เพื่อน ยังไงมึงก็มีกูนะเว้ย จะเป็นเฮี้ยไรเราก็ไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว

------- (๒) -------

เพื่อน : ช่วงนี้แกทำหนังสือเป็นไงบ้างวะ ท่าทางยุ่ง

ฉัน : ก็ฉันไม่ได้ทำงานประจำอ่ะ เป็นศิลปิน ขายงานศิลปะ แต่ที่แกเห็นยุ่งๆ ก็เพราะว่าฉันไปช่วยน้ำท่วมว่ะ

เพื่อน : อ่าวแล้วแกเอาเวลาไหนทำหนังสือ ทั้งทำเพลงสองอัลบั้ม ทั้งช่วยน้ำท่วม

ฉัน : ก็เจียดเวลาเอาน่ะ วันนึงทำได้บางทีสามหน้า ห้าหน้าก็ขยันๆ หน่อย ของมันทำมือใส่กระดาษปริ๊นเอาทีละหน้าอ่ะ

เพื่อน : อ้าว ... แกไม่ได้ใส่กระดาษ ปริ๊นเอาทีละเยอะไวะ

ฉัน : ก็กระดาษรียูสน่ะ มันหนาไม่เท่ากัน ต้องดูแลทีละแผ่นเลย ไม่งั้นพังทั้งสมุดทั้งเครื่องปริ๊นพอดี

เพื่อน : ท่าจะยากว่ะ ...

ฉัน : ไม่เป็นไรหรอก ฉันรักหนังสือฉันทุกเล่มอ่ะ ไม่ได้เหนื่อยอะไร ฟังเพลงไปทำไป เหนื่อยก็นอน ไม่ต้องเป็นห่วงสบายมาก ฉันอ่ะต้องขอบใจแกอุตส่าห์อุดหนุนตั้งสองเล่มแน่ะ

เพื่อน : กูไม่รีบอ่ะมึง ให้คนอื่นก่อนก็ได้ ... 555

------- (๓) -------

เพื่อน : ถ้าเลือกตั้งสมัยหน้ามึงจะไปเลือกใครวะ

ฉัน : ไม่รู้ดิ ... ตั้งแต่เกิดมากูไม่เคยเลือกตั้งเลยว่ะ

เพื่อน : ทั้งที่มึงเรียนรัฐศาสตร์เนี่ยนะ !?!

ฉัน : เออ ... ช่าย ... กูยิ่งเรียนยิ่งเกลียดประชาธิปไตยว่ะ เหมือนเพลงพี่ตูนอ่ะ

เพื่อน : เพลงไรของมึงวะ

ฉัน : "ยิ่งรู้ยิ่งไม่เข้าใจ"

------- (๔) -------

พี่ : เฮ้ย ... น้ำจะมาแล้วเว้ยเก็บของ

เพื่อน : อ่าวแล้วแกไม่เก็บล่ะ 1?!

พี่ : กูแค่ยุไอ้พวกขี้กลัวอ่ะ ดูเด่ะ ... แม้งเก็บใหญ่เลย ขำว่ะ ...

------- (๔) -------

เพื่อน : มึงดูคนนั้นดิ แม้งเดินเก็บขยะข้างทาง ท่าทางจะบ้าว่ะ เอาเวลาไปอาบน้ำก่อนดีมั้ยวะ

ฉัน : กูว่ามึงเอาเวลาไปแปลงฟันก่อนดิกว่า เหม็นปากมึงวะ ไม่ช่วยไรแล้ววิจารณ์หาพ่อมึงเห
รอ ... ดีแต่เห่าอีกแล้วนะมึง

------- (๖) -------

เพื่อน : กูท้องวะ แกว่าฉันเอาออกดีมั้ยวะ ...

ฉัน : แฟนมึงเอาออกไม่ทันหรือยังไงวะ อ่อนว่ะ

เพื่อน : ช่วยด้วย กูไม่ถามเรื่องนั้นน่ะ

ฉัน : นั่งแหละคำตอบของกู !?!

------- (๗) -------

เพื่อน : กูไม่เข้าใจอยู่ดี อ่ะ

ฉัน : เฮ้ย ... กูล่ะเหี่ยใจกะมึงจริงๆ ผู้ชายเขาไม่รับผิดชอบมึงก็เอาแม้งเป็นผัว แค่เอาออกยังเอาไม่ทัน มึงเอาไรคิดวะ ที่ไปคบกับมัน คนทั้งคนนะเว้ย มึงจะฆ่าคนบริสุทธิ์เพื่อคนควายๆ เนี่ยนะ

ฉัน : มึงจะเอาออก กูขอเด็กคนนี้เลี้ยงเองล่ะกัน กูรู้สึกว่ะ มากๆ ด้วย

------- (๘) -------

เพื่อน : เฮ้ย มึงดูขอทานนั่นดิ เด็กอยู่เลย ... ทำได้ยังไงวะ

ฉัน : ที่หน้ามันไหม้ทั้งหน้าอ่ะนะ

เพื่อน : เออ คนนั้นแหละ

ฉัน : เด็กพวกนี้มันคิดอะไรกันบ้างวะ มันจะขมขื่นมั้ยวะ ... คนเรานี่แปลกนะเพื่อเงินชั่วแค่ไหนก็ทำ เด๋วก็ตายห่าแล้วไม่รู้จะรวยไปไหน สัด!!

เพื่อน : ใช่ ว่ะมึง ...

------- (๙) -------

เพื่อน : มีคนมาแอ๊ดกูเป็นเพื่อนเต็มไปหมดเลยว่ะ

ฉัน : เหรอ

เพื่อน : มีแต่สาวๆ น่ารักน่ารักทั้งนั้นเลย

ฉัน : พวกขายตรงทั้งนั้นแหละ มึงดูคอมเม้นหน้าวอลล์มันก็รู้แล้ว ไอ้ควาย คนเราถ้าอยู่ในทุนนิยมอย่างนี้มันก็มีแต่ผลประโยชน์ทั้งนั้น ขนาดกระหรี่มึงยังต้องจ่ายตังเลย

เพื่อน : เออ เนอะ ...

------- (๑๐) -------

เพื่อน : มึงดูนายกดิโคตรโง่เลย เป็นกูแก้ไปนานแล้วน้ำท่วม ...

ฉัน : กูเห็นวันๆ มึงก็เอาแต่ว่าคนอื่น แล้วก็มายืนเกาไข่ แค่ลูกกะเป๋งมึงยังไม่มีปัญญาล้างเลยจะแก้ปัญหาน้ำท่วม ไอ้หัวขวดเอ๊ย ...

เพื่อน : วันนี้มึงด่ากูแรงจังวะ ...

ฉัน : โทดทีวะ ... กูแค่ไม่ชอบพวกดีแต่เห่าอ่ะ

------- (๑๑) -------

เพื่อน : น้ำท่วมมึงไม่ซื้อของไว้ตุนเหรอ

ฉัน : ไม่อ่ะ

เพื่อน : ทำไมวะ

ฉัน : ให้คนที่เขาไม่ค่อยมัเหอะ กูมีบ้างแล้ว ถ้าคนแม้งซื้อตุนไว้หมด คนที่เขาไม่มีจริงจะเอาอะไรแดกวะ

เพื่อน : มึงก็คิดถึงแต่คนอื่นตลอดอ่ะ สัด !!!

ฉัน : อืม อย่างน้อยถ้ากูตาย ก็ตายไปพร้อมกับน้ำใจแหละวะ ไม่ได้ตายไปกับน้ำท่วมเหมือนพวกมึง คนเฮียไรวะซื้อซะเยอะเลยแต่เสือกอพยพ

------- (๑๑) -------

เพื่อน : ทำไมคนตาบอดเขาถึงร้องเพลงเพราะจังวะ

ฉัน : ฉันว่าบางทีเราก็มีเรื่องให้คิด เรื่องให้เห็นมากไป จนเราหมดแรงก่อนที่จะได้ทำสิ่งที่ใช่ว่ะ ฉันว่านะ บางทีมันก็มากไปอ่ะ

------- (๑๒) -------

เธอ : ทำไมไม่ค่อยรู้สึกว่าแกรักฉันเลยวะ แกไม่ค่อยบอกรักฉันเลย ...

ฉัน : โทดทีว่ะ ฉันพูดคำพวกนี้ไม่เก่งซะด้วยสิ

ฉัน : ฉันอยากมให้แกลองหลับตา อุดหู นั่งนิ่งๆ สักพัก ไม่นานแกก็จะได้ยินเสียงผู้ชายคนนึง เขามีคำบางคำจะบอกแก

เธอ : น้ำตาไหลเลยว่ะ นี่แกบอกรักฉันมาตั้งนานแล้วเหรอ ขอโทษนะเว้ยที่ให้รอตั้งนาน

ฉัน : ไม่เป็นไรหรอก

------- (๑๓) -------

ฉัน : การตั้งใจทำอะไรบ้างอย่างทำไม่มันยากนักนะ เริ่มจะท้อใจนิดๆ แล้วนะ

เฮีย : ก็อย่ากลัวไม่สำเร็จ อย่ากลัวว่าคนจะยอมรับมั้ยสิ

ฉัน : แล้วจะทำไปทำไมถ้าไม่ให้คนยอมรับ

เฮีย : เพราะรักไง มันต้องมีอย่างอื่นด้วยเหรอ

ฉัน : นั่นสินะ ...

เฮีย : รักมันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่มากเลยนะ มันเพียงพอที่จะทำให้เราไม่ท้อใจ มันทำให้เรามีแรงผ่านความยากลำบาก ยิ้มได้ในยามทุกข์ มันนำทางเรากัลบบ้าน และสอนเราเมื่อเรางสงสัย รักสิ่งที่ทำแล้วต่อไปซะ

หญิงสาวในเนื้อกระดาษเอสี่

วันที่เป็นวันที่ 14 แล้วตั้งแต่เธอกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ห้องสี่เหลี่ยมที่ใช้เป็นที่อาศัยนั้นกว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

มันเหน็บหนาวและอ้างว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ... เห็นได้ชัด ... จริงสินะ

เสียงเพลงไม่อาจช่วยคลายเหงาได้ และเสียงของเพื่อนๆ ในสายโทรศัพท์ ก็ไม่อาจบรรเทาความเงียบงัน ผมอยู่คนเดียวไม่ว่าจะมองจากมุมไหน

ทั้งที่เพิ่งจะคุยกันไม่เมื่อวาน แต่มันเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร

“แกทำอะไรอยู่” เธอถาม

“ก็ ... ทำงาน เหมือนเดิมแหละ” ผมตอบไป

“กินไรยัง” เธอถาม

“กินแล้ว” ผมตอบ

“อยู่ไหน” เธอถาม

ผมงงกับคำถามของเธอเพราะผมรู้ว่าเธอรู้อยู่เต็มอกถึงคำตอบเหล่านี้ ผมไม่เคยนั่งทำงานนอกบ้าน แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“อยู่กับใคร” เธอถาม

“แกถามเรื่องเดิมทุกวันทั้งๆ ที่รู้ว่าฉันจะตอบว่าอะไร คือ ถ้าแกไม่มีเรื่องจะคุยก็ไม่ต้องโทรมาก็ได้เว้ย ...” ผมตอบไปด้วยอารมณ์เฉยชาเหมือนอย่างที่เคยทุกทีเป็น ผมไม่ได้โกรธเธอเลยแม้แต่น้อย

“คือไม่ได้โกรธอะไรนะ แต่แกไม่ต้องโทรมาเป็นพิธีก็ได้ อยากคุยจริงๆ ก็โทรมา แล้วคุยอย่างคนรักกันเขาทำกันน่ะ” ผมพูดขยายความ

“แค่นี้นะ ... ฉันไม่มีอะไรจะพูดอ่ะ จะนอนแล้ว” เธอบอก

“อืม” ผมไม่รั้งเธอ

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่น้ำกำลังท่วมกรุงเทพฯ ในช่วงที่ใครบางคนพังคันกั้นน้ำ ในช่วงที่ใครบางคนเพิ่งจะสูญเสียหมาของเขาไป ในช่วงที่ใครบางคนหาซื้อสารส้มไม่ได้ หรือแม้แต่ใครบางคนเพิ่งตายเพราะโดนไฟดูด ทั้งมันเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน

หนึ่งวินาทีของโลกใบนี้ช่างยาวนาน ... ผมคิด

คืนนี้คนพูดน้อยอย่างผมจะส่งข้อความไปบอกแฟนผมว่า ‘ฉันอยากเห็นหน้าแกจัง อยากนั่งข้างๆ แกเหมือนอย่างที่เพิ่งทำเมื่อไม่นานมานี้’ ใช่ ... ผมไม่ได้พูดคำว่าคิดถึง

น่าแปลกนะที่ผมไม่ถนัดที่จะแสดงมันออกมา เป็นคนเฉยชาและแข็งกระด้างในสายตาของคนรัก แต่ดันเป็นคนโรแมนติกสำหรับคนที่รู้จักกันห่างๆ

มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ ...

ผมตั้งคำถามทั้งที่ผมรู้คำตอบนั้นอยู่แล้ว แน่นอนผมรักแฟนผมมาก มากกว่าหลายๆ อย่าง และสำหรับผมการแสดงออกของผมมันมักจะแตกต่างออกไป

ผมรู้ตัวขณะที่เฝ้ามอง ‘ยัยหมีจอมเขมือบ’ นอนหลับ เธอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน และเก็บความรู้สึกต่างๆ ไปฝันต่อ มีบ้างที่เธอละเมอ ... ละเมอว่าผมไม่รักเธอ

‘เราเดินมาไกลเกินกว่าเส้นของความรักแบบเด็กๆ แล้วนะรู้มั้ย’ อีกไม่นานก็จะมีใครบางคนเรียกเธอว่าแม่แล้วนะ ผมคิด

ความรักไม่ได้มีให้เรารับรู้เพียงแค่คำพูดเท่านั้นนี่นา และการไม่ได้ใช้คำว่ารัก ก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะหมดสภาพจากการเป็นโลกทั้งใบของฉันซะหน่อย

อยากให้เธอหลับตาอยู่ แล้วนิ่งๆ สักพักจัง เธอจะได้ยินเสียงจากผู้ชายคนหนึ่ง เขาจะพูดบางคำกับเธอ เธอจะรู้ว่าที่ริมฝั่งทะเล ยังมีเสียงคลื่นที่พยายามบอกรักดวงดาวอยู่ไกลๆ

ยังมีหมาตัวหนึ่งที่เห่าเครื่องบินอย่างไม่เลิกรา ยังมีคนบ้าที่รักเธออยู่ห่างๆ มีผู้ชายประหลาดที่มองเธอตอนเธอหลับ และตื่นมาเพื่อทำกับข้าวให้เธอกิน ปีแล้วปีเล่าที่มันจะผ่านไป

ไม่ใช่ว่าฉันไม่รักเธอหรอกนะ ...

ผมคิด ผมเห็นภาพ ผมจินตนาการขณะมองภาพวาดตลกๆ ของเธอในกระดาษเอสี่ใช้แล้วแผ่นหนึ่ง

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สเตตัส : วันที่ 5 พฤศจิกายน 2554

------- (๑) -------

ผมอยากเป็นนายกคับ

อย่าไปยุ่งกับการเมืองเลยลูก มันมีแต่เรื่องไม่ดี

ก็เพราะมันมีแต่เรื่องไม่ดีผมเลยอยากเปลี่ยนมัน

ลูกทำไม่หรอก มันยาก

ผมว่าการอยู่เฉยๆ ต่างหากที่ทำไม่ได้ ...

------- (๒) -------

พี่ว่าบางทีเราอาจจะเปลี่ยนเขาได้นะถ้าเรารักเขมากพอ

ไม่ได้หรอกพี่ "เราไม่ใช่ลิฟท์" ที่จะเป็นทางลัดให้ใครขึ้นไปข้างบนได้ไวๆ
ทุกคนมีขาก็ต้องขึ้นบรรไดทั้งนั้น ...

เออว่ะ ก็จริงของเอ็ง

------- (๓) -------

พี่ครับผมเป็นนายกไม่ได้แล้วเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ได้มั้ยครับ

ก็เป็นไม่ได้อีกนั่นแหละ มันมีแค่ในทีวีลูกเอ๊ย

คือมันไม่จริงเหรอครับพ่อ

ช่ายลูก มันเป็นเรื่องโกหก

แต่ผมก็ไม่เห็นบ้านไหนไม่ดูเรื่องโกหกเลยนี่ครับ ...

------- (๔) -------

เธอเคยรักฉันบ้างไหม ??

ช่าย ฉันเคยรักเธอ แต่มันนานมาแล้ว ... ตอนนี้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเถอะนะ

ฉันจะอยู่ยังไง ฉันยังรักเธออยู่นะ รู้มั้ย

เอิม ... แต่ เราไม่รักเธอแล้ว เธอล่ะ รู้บ้างไหม ... บางทีเราเปลี่ยนตวเองเพื่อเธอ เราว่ามันยากไปอ่ะ เราเปลี่ยนคนดีกว่านะ ... เธออย่าร้องไห้ให้เราเลย เราไม่ได้มีค่าขนาดนั้น

------- (๕) -------

ทำไมแกไม่ทำงานเพลงออกมาให้มันขายได้หน่อยวะ

ผมยังไม่แก่พออ่ะครับพี่ที่จะคิดอย่างนั้น ยังไม่แก่พอจะคิดว่าต้องสร้างตัว คิดแค่อยากทำงานศิลปะ ให้ดีๆ ก็มีความสุขแล้วครับ

เรื่องแฟนด้วยเหรอ ...

ครับ ผมยังไม่แก่พอ ยังอยากมีช่วงเวลาวัยรุ่นไปอีกสักพัก ไม่อยากให้มันหายไปเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว แล้วก็ไม่อยากไปทำลายเวลาวัยรุ่นของเธอคนนั้นด้วยครับ

------- (๖) -------

อ้าวไปไหนมา ...

ผมไปทำงานเพิ่งกลับมาครับ

น้ำจะท่วมโลกแล้วโว้ยยยยย !! +555

-- * เอิม ขนาดนั้นเลยเหรอครับ เรากลัวน้ำโดยไม่ต้องโดนหมาบ้ากัดแล้วเหรอครับเด๋วนี้

------- (๗) -------

แกเคยเป็นมั้ยวะ ที่มีความสงสัยในหัวเป็นล้านๆ วนไปวนมา แต่จริงๆ อยากรู้แค่อย่างเดียว

แล้วแกอยากรู้อะไรวะ

อยากรู้ว่าเขารักกูมั้ยว่ะ

นี่แกพูดเป็นประโยคบอกเล่านี่ มันจะมีคำตอบได้ไงวะ ... !?!

------- (๘) -------

siri search google ให้หน่อย ... !!

คุณให้ siri Searh คำว่าอะไรคะ

Love สะกดด้วย l-o-v-e

กรุณารอสักครู่ค่ะ ... นี่คือผลการค้นหาของคุณค่ะ

siri นี่ไม่ใช่ความรักหรอกนะ นี่มันแค่ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง sex เท่านั้นเอง

------- (๙) -------

ถ้าโลกจะแตกนายจะบอกอะไรเรา

เออ .. ฉันรักเธอไง ...

................................... อ ... อืม ... -///-

นายรักเราเหรอ

เปล่าสักหน่อย ... เราเปลี่ยนเรื่องเถอะ ...

------- (๙) -------

เมื่อวานวันอะไร

วันศุกร์ไง บ้านไม่มีปฏิทินเหรอ

แล้ววันที่เท่าไหร่

4

วันอะไร ...

ศุกร์ไง เอ๊ะ !!

คิดแล้วว่านายต้องลืม ฉันก็คงต้องเสียใจกับความจำนายอีกปีสินะ

มันก็พอๆ กับการที่เธอลืมวันที่ 11 มกรา นั่นแหละ ... !!
อยากได้อะไรก็บอกมา เด๋วซื้อให้ ..

------- (๑๐) -------

พี่ น้ำท่วม พี่ไม่เก็บร้านเหรอ

พี่ไม่เก็บหรอก ก็อยู่มันที่นี่แหละ บ้านอยู่นี่จะไปอยู่ที่อื่นได้ไง
คนทำมาหากินตรงนี้ตั้งแต่หนุ่มๆ ไปที่อื่นนอนไม่หลับหรอก ........

จะดีจะจนก็บ้านเราเนอะพี่

ใช่ ...

------- (๑๑) -------

เป่าเค๊กสิลูก

... พ่อครับ

ว่าไงตัวแสบ

วันนี้ก็เป็นวันเกิดท้องฟ้าเหมือนกันเหรอครับ

ทำไมล่ะลูก

ก็ท้องฟ้าจุดเทียนเต็มไปหมดเลย

อืม ... ช่ายลูก วันนี้ก็วันเกิดท้องฟ้าเหมือนกัน

ท้องฟ้าพี่ขวบแล้วฮะ ผมมีนิ้วไม่พอนับอ่ะพ่อ


วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การเดินทางของ iphone 4s

"เราเป็นผลพวงมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเราเสมอ โลกนี้มีเวลามันก็เลยมีลำดับของสรรพสิ่ง"

ผมนั่งอยู่ตรงนี้หลายวันแล้ว มันเป็นวันหยุดของใครหลายๆ คน แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นวันที่ใครอีกหลายคน ต้องทำงานกันอย่างหนัก หนักเป็นสองเท่า

'ใครบางคนอาจยิ้ม แต่ใครบางคนอาจต้องกลืนน้ำตา'

ในรอบเดือนที่ผ่านมาเราเห็นภาพของกำแพงถุงทรายหน้าบ้านทุกหลัง เราเห็นภาพของกำแพงปูน เราเห็นแม้แต่ภาพของการเอาพลาสติกใส่มาปิดประตูแล้วแป่ะด้วยดินน้ำมัน เราได้เกิดมาและเป็นอยู่ เดินไปเดินมาในโลกที่มี iphone เรามีลมหายใจอยู่ในยุคสมัยที่คนเรา 'กลัวน้ำ' มากที่สุด กลัวโดยไม่ต้องอาศัยการช่วยเหลือของหมาบ้า

มันหมายถึงยุคสมัยที่เราอ้างว้าง ... แปลกแยก ... และเหน็บหนาวในความรู้สึก เราดันใช้ชีวิตในยุคที่คนส่วนใหญ่บูชาเครื่องมือสื่อสาร มันเป็นยุคที่เราอยากมีใครสักคน เป็นยุคที่ siri กลายเป็นเพื่อนสนิทของเรา

เป็นยุคที่เราบอกรัก iphone 4s

ผมนั่งคิดตอนเข้าห้องน้ำ คิดขำๆ ถึงคำพูดของ 'ไอน์สไตน์' ที่ฮิตติดหูขนาดไม่ต้องเอามาเขียนกันให้เมื่อยมือ ผมคิดว่า ... iphone เกิดมาจากวงจรไฟฟ้า วงจรไฟฟ้ามันก็มีกระแสไฟเดินทางไปๆ มาๆ เหมือนไฟปิดกับเปิด คล้ายตอนเด็กๆ ที่เคยเรียนกันว่าภาษาของเครื่องจักรก็ใช้หลอดไฟปิดๆ เปิดๆ นี่แหละ ในการสร้างมันขึ้นมา แล้วหลอดไฟมันจากไหน ...

ก็มาจากคนๆ หนึ่ง ชื่อ 'เอดิสัน'

ลำดับไปมา ชายคนนี้เป็นคนที่ไม่เคยเห็นหลอดไฟ เขาคิดถึงมันในขณะที่โลกนั้นเต็มไปด้วยแต่ตะเกียง เขาอาจจะฝันไปว่า ถ้าโลกนี้คนเราไม่ต้องอยู่ในความมืดจะดีแค่ไหน เราจะได้เห็นหน้าใครสักคนตลอดเวลา เราทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างเสรีไม่ต้องหลบซ่อน หรือกลัวโจรผู้ร้ายอีกต่อไป เราจะมีแสงดวงหนึ่งไว้คอยนำทางสำหรับเราเสมอ

และจากแสงดวงหนึ่งก็กลายเป็นแสงที่ส่องสว่างไปทั่วทั้งเมือง

ว่าแล้วเขาก็เริ่มต้นสร้างมัน เอาผลจากความล้มเหลวของคนอื่นมาทำต่อ ด้วยแรงบันดาลหัวใจจากไอ้ภาพที่จะสำเร็จรึเปล่าก็ไม่รู้ของเขาในเวลานั้น ...

โลกนี้มีลำดับ ... มีสิ่งที่อยู่ก่อนหน้าเรา และมีสิ่งที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า บางที 'สตีฟ' อาจคิดไปในแบบเดียวกัน "ถ้าเราทุกคนไม่ต้องเหงาอีกต่อไป ไม่ต้องอยู่อย่างเดียวดาย ไม่ต้องตายไปโดยลำพัง"

ลำดับเป็นสิ่งที่เราไม่ได้เรียงเอง เราเป็นผู้ถูกเรียงโดยสรรพสิ่งเสมอ เราเป็นผลพวงของสิ่งที่มีอยู่ก่อนหน้าเรา แน่นอนเราไม่ได้เกิดมาอย่างไม่มีเหตุผล นั่นคือเราไม่ได้อยู่ไปวันๆ ชีวิตของเราสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ ... ถ้าเราจะทำซะอย่าง

น้ำท่วม ความมืด และความเหงา อาจจะทำให้เราหวั่นไหวบ้าง เซไปบ้างบางครั้งแต่มันไม่ได้กำหนดเรา แต่เราเลือกที่จะยิ้มได้ เลือกที่จะเปลี่ยนตัวเราเองได้ เลือกที่จะคิด เลือกที่จะฝัน ที่จะเป็นได้ออย่างที่อยากเป็น

บางทีอาจมี สตีฟ ในตัวเรา อาจมี เอดิสัน ในตัวเพื่อนของเรา ลองเปิดใจให้โอกาสตัวเราได้ทำอะไรตามความฝันบ้าง ... ใครจะรู้ ไม่แน่ เราอาจกลายเป็นสรรพสิ่งที่ลำดับสรรพสิ่งอื่นๆ ก็เป็นไปได้