วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การได้หลงรักอะไรสักอย่าง

บันทึก วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ 

กลางดึกดื่นแบบนี้ดันเพิ่งตื่น เหลือบดูนาฟิกาห้าทุ่มกว่า ในใจก็คอยคิดวนเวียนแต่เรื่องงานที่เพิ่งเข้ามาใหม่ มันเป็นงานประจำที่อยากได้พอดี จำได้ว่าก่อนหน้านั้นทรมานกับความสับสน เวลาเปลี่ยนงานครั้งหนึ่งๆ เหมือนกับชีวิตจะต้องเจอทางแยกทุกที 

 ลักษณะการทำงานของโลกใบนี้กำลังเปลี่ยนไปรึเปล่า --- ?? 

เมื่อก่อนเคยเห็นด้วยกับความคิดที่ว่างานคือเรื่องส่วนตัว คือ การทำงานกับการใช้ชีวิตเป็นเรื่องเดียวกัน การใช้ชีวิตคือการทำงาน วันว่างกับวันทำงาน คือ วันวันเดียวกัน หากแต่ไม่นานมานี้ก็ได้มองเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดไปจากที่เคยคิด องค์ประกอบที่ทำให้มันไม่สามารถชิลล์ได้อย่างที่วาดฝันเอาไว้ คือ ...

"เจ้านาย" 

เจ้านายบางคนคือตัวแปล เป็นคนที่คอยกำหนดทุกอย่างในการทำงานของเราและลามปามมากำหนดวิถีชีวิตของเราอย่างไม่เจตนา เรื่องราวของอ้อแฟนสาว เป็นเรื่องราวที่อธิบายสถานการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี เริ่มต้นจากการที่อ้อสมัครงานในตำแหน่งครีเอทีฟ ได้เงินเดือนเดือนเดือนละหมื่นหก อ้อใช้ชีวิตกับที่ทำงานวันละสิบกว่าชั่วโมง ได้นอน ๗ ชั่วโมง ที่เหลือ คือ เวลาทำงาน ไม่มีเวลาสำหรับครอบครัว เสาร์อาทิตย์แม้ไม่มีหน้าที่เจ้านายก็มักจะหาหน้าที่ให้ทำ เวลาทานข้าวให้เอาข้าวมาทาน ห้ามออกไปทานเองเพื่อให้ทานเสร็จเร็วๆ แล้วเอางานไปทำต่อ 

เรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องเดียวกัน วันหยุดกับวันทำงานคือวันเดียวกัน เวลาพักกับเวลาทำงาน คือ เวลาเดียวกัน "เจ้านายกับแม่แทบจะเป็นคนเดียวกัน"   

ทุกคืนตอนประมาณสี่ทุ่มผมจะต้องขี่รถไปรับอ้อที่ออฟฟิศแล้วรอถึงประมาณเที่ยงคืน หลังจากนั้นก็กลับบ้านมานอนคุยกันพักหนึ่งก่อนจะเห็นอ้อนอนแอ้งแม๊งไปในท่าทางที่กำลังนอนคุยกันอยู่นั่นแหละ 

ถ้ามันเป็นงานที่ทำแล้วมีความสุขปัจจัยหนึ่งที่กำหนด คือ "เจ้านาย" 

ถ้าเจ้านายจุกจิก ควบคุมชีวิต ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวมากๆ จากเจ้านายจะกลายเป็นแม่เมื่อไหร่แล้ว ความรักที่มีต่อตัวงานก็อาจจะลดลงเพราะบรรยากาศชีวิตห่วยแตก 

หลังจากอ้อทำงานได้เพียง ๒๓ วัน อ้อก็ลาออก "คืนนั้นถ้าอ้อไม่ลาออกอ้อจะได้นอน ๔ ชั่วโมง"  

โลกเราแข่งขันกันมากกว่าจะร่วมมือกันทั้งๆ ที่ทำได้ การแข่งขันทำให้ต้องหาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม จุดที่ฝ่ายตรงข้ามไม่มีแล้วเรามี ไม่ว่าจะด้วยราคาที่ถูกกว่า ฝีมือการผลิตที่เหนือกว่า หรือแม้แต่ความถึกของร่างกายที่มากกว่าก็ยังอุตส่าห์จะเอามาประลองกันได้ 

วัฒนธรรมขายวิญญาณให้กับการทำงานนั้นคืบคลานเข้ามาเอาส่วนแบ่งเวลาว่างในชีวิตเราเมื่อไหร่ไม่มีใครบอก แต่มันทำให้การทำงานกลายเป็น "ทางเลือกของชีวิต" เสมือนการก้าวครั้งสำคัญที่มีความหวัง ความสุข และเสียงหัวเราะของคนที่เรารักเป็นเดิมพัน  ตอนนี้ผมทำงานมาได้สักพัก และมีความคิดเห็นที่ต่างออกไป คำถามคือมันคุ้มหรือไม่ "แน่นอนมันไม่มีวันคุ้ม"

ฝรั่งถามผมว่าเงินเดือนปริญญาตรีที่ประเทศนี้เท่าไหร่ ผมตอบว่ามีตั้งแต่เก้าพันยันหลายหมื่น เขาถามผมว่าหอพักดีๆ ใกล้ๆ ใจกลางเมืองค่าเช่าเดือนละเท่าไหร่ ผมบอกว่าก็พอๆ กับเงินเดือนนั่นแหละ ฝรั่งทำหน้างง ผมก็เคยงง ใช่แล้ว ผมก็งงเหมือนกับเขา เราไม่มีคำตอบที่เติมลองในช่องว่างของบทสนทนานี้ 

การทำงานกลายเป็นการเอาชีวิตรอดในยามสงครามโลกไปแล้วหรือไง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะการแข่งขันรึเปล่า การที่เราเห็นด้วยและพยายามจะหาของถูกซึ่งเป็นของดีที่สุด เราห่างไกลจากคำว่าดีสมราคามามาก เราอยู่ในประเทศที่คำว่าเงินเดือนหมื่นห้า กับภาษีรถคันแรกสามารถนำมาเป็นนโยบายหาเสียงได้ 

ผมมองเห็นว่าบางทีเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมันก็จะถูกแยกออกจากกัน ไม่ว่าอย่างไรเราก็ควรจะมีเวลาให้ครอบครัว หรือคนที่เรารักทุกวัน มีเวลาสอนลูก มีเวลาได้อ่อนโยนกับอะไรบางอย่างหรือใครบางคนบ้าง คนกลัวเสียเวลาพัฒนาประสบการณ์ในสายอาชีพ แต่กลับไม่กลัวเสียใจที่ไม่ได้มีเวลาอยู่กับคนรัก แบบนี้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ 

เมื่อวานขณะนอนก่ายหน้าผาก ผมถามตัวเองว่าอย่างเรานี่เหมาะกับการทำอาชีพอะไร ผมสงสัยพอสมควรว่าทำไมเราต้องมานั่งตั้งคำถามแบบนี้ มนุษย์เรามีความสามารถที่หลากหลายมากๆ ทำไมนะ เราต้องมาทำอยู่อาชีพเดียว ชีวิตคงน่าเบื่อตายเลยถ้าเรายอมรับความคิดแบบนี้ และเชื่อด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างว่ามันจริง ผมว่าคนเราสุดท้ายก็ต้องจากโลกนี้ไปสักวัน วันหนึ่งเราต้องแก่และต้องหลับไปอย่างที่ไม่มีวันตื่น ซึ่งไม่ว่าเราจะมีเงิน มีชื่อเสียง มีเพื่อนฝูงมากแค่ไหนเราก็ต้องตายอยู่ดี ถ้าเรามองว่าเงินมีค่าเราก็คิดผิดเล็กๆ เหมือนเอาใจเราทั้งหมดไปหลงอยู่ในนั้น วนไปวนมา หาทางออกไม่ได้ มันทำให้เราหดหู่คิดว่าชีวิตเราไม่มีค่า ทำอย่างไรก็มีไม่เท่าคนรวย อยากรวย อยากมี อยากได้เหมือนเขา อย่างเขา 

มันทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งดีๆ ที่เรามีอยู่ ผมว่าถ้าเป็นแบบนี้เราจะเครียดมาก 

อันที่จริงในเมื่อไม่ว่าจะทำอะไรผลสุดท้ายเราก็ต้องจากโลกนี้ไป สุดท้ายไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน เราก็น่าจะลองถอยหลังออกมาสักก้าวสองก้าว ลองไม่เปรียบเทียบเรากับเขา อย่าเอาเรื่องเงินทองของนอกการมากำหนดคุณค่าชีวิตของเรา ถ้าไหนๆ จะต้องตายอยู่ดี ก็ขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เบิกบาน สงบร่มเย็น และเป็นกำลังใจให้คนอื่นได้ กำหนดจุดยืนของเราไปเลยว่าชีวิตนี้แม้ไม่เก่ง ไม่รวย ไม่หล่อ ไม่เจ๋ง เท่าไหร่นัก ก็ขอเป็นคนจิตใจดี คือ ในใจมีแต่สิ่งดีๆ เหนื่อยกายบ้างแต่ภายในร่มเย็น 

ผมเปิดดูเว็บไซต์เกี่ยวกับเอสเอ็มอีหลายๆ ตัว บางคนก็เอาเชือกมาขดกันกลายเป็นพรมเช็ดเท้าขาย บางคนชอบออกแบบเสื้อผ้า บางคนชอบทำอาหาร ลองหาวันสักวันให้เวลากับสิ่งเหล่านี้ดู และพัฒนามันขึ้นมา ให้ความรักเสมือนเราปลูกต้นไม้ มีความสุขกับสิ่งที่เราชอบ อย่าเพิ่งคิดเรื่องร่ำรวย เอาใจออกมาอย่าหลงกับมัน แต่จงทำสิ่งที่รักตรงหน้าด้วยความรักจริงซิ ลองให้ชีวิตเรามีคนรัก หรือสิ่งที่เรารักจริงอย่างน้อยสักอย่างซิ รับรองว่าเราจะได้เห็นอะไรสวยๆ งามๆ อย่างแน่นอน 

ความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใช้ออกจะยิ่งมีมากขึ้น ลองจินตนาการถึงการหลงรักครั้งล่าสุดของเรา นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้มีเวลาส่วนตัว นานแค่ไหนแล้วที่เราเอาแต่คิดรวย นานแค่ไหนที่เราเอาแต่แข่งขัน หรือใช้การเอาตัวรอดในที่ทำงานกับเรื่องบ้านของเรา ลูกเป็นลูกน้อง เมียเป็นเลขา บลาๆๆๆ 

เธอลองนึกดูสิว่สชีวิตเป็นของใครกันแน่ ... ใครกันที่สักวันหนึ่งจะต้องลงไปนอนอยู่ในโลง ถามแบบนี้แรงไปมั้ยนะ คงแรงนะ "แต่มันจริง"

1 ความคิดเห็น:

  1. ชอบจังพี่ ที่บอกว่าทำไมคนเราต้องมาทำอยู่อาชีพเดียว

    ตอบลบ