------- (บนรถเมล์สาย ๙๒ // ขาไปอนุสาวรีย์) -------
ชีวิตมันเหมือนละคร ใครบางคนเคยบอกฉันไว้ ในทางกลับกันแล้วฉันก็คิดว่าละครมันก็ไม่ต่างจากชีวิตเท่าไหร่นัก ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของคนเล่นละครบนเวที หรือแม้แต่ชีวิตของตัวละครในการแสดงก็ตาม
แล้วแท้จริงเราเล่นละครหรือใช้ชีวิต ...
เราตีหน้าตายร้องไห้หลอกคนดูให้เชื่อว่าเราเสียใจ หรือเราเสียใจจริงๆ
เราเสียน้ำตาไปเพื่อสิ่งใดกันแน่
เพลงที่ร้องให้ผู้ชม ร้องเรื่องจริง หรือร้องหลอกๆ ความบันเทิงคืออะไร แค่ความเพลิดเพลิน หรือการรับรู้ท่วงทำนองจากความรู้สึก
การแสดงดนตรีคงไม่ใช่แค่เล่นดนตรี หรือร้องเพลง หรือโชว์ทักษะ
โลกนี้ไม่ได้มีเวทีไว้เพียงแค่นี้ ...
เพราะสำหรับฉันเวทีคือการรับรู้ตัวตน เป็นโอกาสที่ใครก็ตามบนนั้นจะได้เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น
ได้ส่งต่อความฝันและพลังในหัวใจ ได้ประกาศให้ทุกคนรู้ว่า ณ ที่ตรงนี้ใครบางคนที่ไม่เคยมีตัวตนจะได้มีตัวตน
ดังนั้นทุกการแสดงของเราจึงเป็นโอกาสดีที่เราจะทำบางสิ่งให้การเล่นดนตรีมีความหมายที่ต่างออกไป
ไม่ว่าวันนี้เราจะเล็กน้อยเท่าไหร่ก็ตาม แต่สิงห์ คือสิงห์ และพยาอินทรีก็คือพยาอินทรีวันยังค่ำ
แน่นอนวันนึงเราจะโต และแข็งแกร่งกว่านี้ในอย่างที่เราไม่อาจจินตนาการได้ ...
วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554
'รัก' ช่างยากเย็น
------- (บนรถเมล์สาย ๙๒ // ขาไปอนุสาวรีย์) -------
การพยายามรักคนที่ไม่น่ารักมันยากมาก ถ้ามีเพื่อนคนหนึ่งที่นิสัยดีมากๆ พอทะเลาะกันแรงๆ มันก็อยากคืนดีด้วย เพราะสามารถนึกถึงตอนที่เค้าทำสิ่งดีๆ ให้เรา
แต่เมื่อเป็นเพื่อนที่นิสัยไม่ดี ที่ผ่านมาก็เคยแต่จะพูดให้เราเสียความรู้สึก เราจะรักเขาได้อย่างไร
เราไม่มีทางรู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะเปลี่ยน เมื่อไหร่ที่เขาจะหันมาเข้าใจเราบ้าง ความดีที่เราอุตส่าห์กัดฟันทำเพื่อเขาละไม้คล้ายสิ่งปฏิกูล
แล้วเขายังเสนอหน้ามาอยู่ปะปนกับเราตลอดเวลา
คำว่าให้อภัยจึงเป็นสิ่งที่ถูกหยิบมาใช้บ่อยๆ หวังว่าวันนึงจะชำนาญจนรู้วิธีจัดการกับความเกลียดของตัวเอง
แอบหวังเล็กๆ ว่าวันหนึ่งจะ 'รัก' โดยที่ไม่ต้อง 'พยายาม'
จะได้ซึ้งทุกครั้ง ที่หยดน้ำตาไหล ซึ้งที่อย่างน้อยชีวิตนี้เราก็ได้ลองพยายามดูแล้ว ซึ้งที่เราเคยมีช่วงเวลาที่เปราะบางให้จดจำ
รักใครคนหนึ่งมันช่างยากเย็น แต่มันตายมั้ย ไม่หนิ ไม่เจ็บเท่าไหร่ ยังพอไหว งั้นก็อยู่ต่อไป อยู่เพื่อที่จะรู้จักความรักให้มากขึ้น อย่างคนที่ไม่รักไม่มีวันรู้
การพยายามรักคนที่ไม่น่ารักมันยากมาก ถ้ามีเพื่อนคนหนึ่งที่นิสัยดีมากๆ พอทะเลาะกันแรงๆ มันก็อยากคืนดีด้วย เพราะสามารถนึกถึงตอนที่เค้าทำสิ่งดีๆ ให้เรา
แต่เมื่อเป็นเพื่อนที่นิสัยไม่ดี ที่ผ่านมาก็เคยแต่จะพูดให้เราเสียความรู้สึก เราจะรักเขาได้อย่างไร
เราไม่มีทางรู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะเปลี่ยน เมื่อไหร่ที่เขาจะหันมาเข้าใจเราบ้าง ความดีที่เราอุตส่าห์กัดฟันทำเพื่อเขาละไม้คล้ายสิ่งปฏิกูล
แล้วเขายังเสนอหน้ามาอยู่ปะปนกับเราตลอดเวลา
คำว่าให้อภัยจึงเป็นสิ่งที่ถูกหยิบมาใช้บ่อยๆ หวังว่าวันนึงจะชำนาญจนรู้วิธีจัดการกับความเกลียดของตัวเอง
แอบหวังเล็กๆ ว่าวันหนึ่งจะ 'รัก' โดยที่ไม่ต้อง 'พยายาม'
จะได้ซึ้งทุกครั้ง ที่หยดน้ำตาไหล ซึ้งที่อย่างน้อยชีวิตนี้เราก็ได้ลองพยายามดูแล้ว ซึ้งที่เราเคยมีช่วงเวลาที่เปราะบางให้จดจำ
รักใครคนหนึ่งมันช่างยากเย็น แต่มันตายมั้ย ไม่หนิ ไม่เจ็บเท่าไหร่ ยังพอไหว งั้นก็อยู่ต่อไป อยู่เพื่อที่จะรู้จักความรักให้มากขึ้น อย่างคนที่ไม่รักไม่มีวันรู้
วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554
เอรี่ ตอนที่ ๓ ความหวังในกล่องสี่เหลี่ยม
------- (การจากลา // คำพูดในสายลม) --------
ตึก ตึก ตึก ตึก --- !!
ผมกระแทกส้นของรองเท้าหนังคู่เงา ลงกับพื้นปูนอย่างถี่ๆ ด้วยก้าววิ่งที่เต็มไปด้วยความร้อนใจ แม้วิ่งเร็วจนสุดขีดกำลังขา แต่มันช่างเชื่องช้าและยาวไกล เหมือนว่าถนนสายนี้จะวกวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สายลมหยาบๆ พัดมาปะทะผิวหน้าตามจังหวะฝีก้าว ผมเตะกองใบไม้แห้งๆ บนพื้นถนนอย่างไม่แยแส 'องค์ราชินี ... กระหม่อมไม่ได้พบพระองค์นานเหลือเกิน'
ตึก ตึก ตึก ตึก --- !!
ผมวิ่งต่อไป ผ่านบรรดาต้นไม้สีเขียวครึ้ม ที่เรียงตัวกันอยู่จนแน่นขนัด ริมสองฝั่งถนน กิ่งก้านที่เคยโบกทักทายด้วยความเป็นมิตร ตอนนี้เปลี่ยนไป กลายเป็นเย็นชาและถมึงทึง เงาดำของพวกมัน เบียดเสียดตัวเองลงกับพื้น จนแทบจะทำให้กลางวันนั้นกลายเป็นกลางคืน ที่ลอดลงมาได้ ก็มีเพียงแค่แสงสลัวของพระอาทิตย์ยามเที่ยงเท่านั้น
ตึก ตึก ตึก ตึก --- !!
บ้านเรือนแถบนี้ล้วนแล้วแต่ไร้ซึ่งผู้คน แม้จะเคยเป็นถึงบ้านที่สวยงามหรูหราของบรรดามหาเศรษฐี แต่ในยามนี้มันก็เป็นได้เพียงแค่ตึกปูนเก่าๆ ที่รกร้างว่างเปล่า ภาพของพวกมันล้วนปลิวตัวผ่านสายตาของผมไปทีละหลัง ทีละหลัง ผมเร่งกำลัง สาวเท้าวิ่งผ่านไป 'ไม่มีเวลาแล้ว ... อีดนิดเดียวเท่านั้น'
ตึก ตึก ตึก ตึก --- !!
ผมถึงบ้านหลังสุดท้าย ท้ายสุดของถนน เอื้อมมือที่เปียกชุ่มด้วยเหงื่อ ไปเปิดประตูรั้วบ้านออกอย่างลวกๆ สูทสีเทาบนร่างชราของผมก็ไม่แตกต่างจากมือคู่นั้น มันถูกชโลมไปด้วยหยาดหยดแห่งความเหนื่อยล้าจนถ้วนทั่ว
แอ๊ดดด --- !!
บ้านไม้ของผมตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าอย่างเย็นชา ใครคนนั้นกำลังรอผมอยู่ สตรีผู้เลิอโฉม นางในชุดขาวบางเบา มงกุฏทองคำ แสงสว่างเจิดจรัส รอยยิ้มระเรื่อ ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนสงัดเงียบ สำหรับผม เธอไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด
"องค์ราชินี" ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ พลางคุกเข่าลงกับพื้นของเฉลียงบ้าน ด้วยความระลึกถึง ทั้งหมดที่มีในหัวใจ
"นานนัก เจ้ากับข้า ... สบายดีมั้ย ... สุขภาพของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" นางถามอย่างอ่อนโยนเช่นเคย
"กระหม่อมสบายดี แม้ชราแต่ยังเดินเหินได้ปกติ พะย่ะค่ะ"
พอจบประโยคสนทนา นางก็ทอดสายตา มองออกไปในช่วงเวลาที่ใบไม้ปลิวไปตามสายลม มือของนางยังจับหลวมๆ อยู่ที่ราวกั้น ระหว่างตัวบ้านกับสนาม มันสูงแค่เอว แต่ในตอนนี้มันกลับแข็งกร้าว ทะมึนทึก และดุดัน 'คงเป็นเพราะความอ่อนไหวของผมกระมัง'
"ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเฝ้ามองอนาคตของเมืองนี้ ผ่านสายตาของพวกเขา บางทีมันก็อาจจะคล้ายกับใบไม้ตรงนั้น ร่วงหล่นลงมา และปลิวไปตามลม" นางตรัสออกมาดุจคำสั่งลา
ผิวของนางขาวใส แสงสีนวลจางๆ ยังคงทอประกายระยับออกมาจากเรือนร่างของนาง จากตรงนี้สามารถมองเห็นรอยยิ้มระคนกับหยดน้ำตาที่ร่องแก้มได้อย่างเลือนๆ นางยังคงเป็นสาวงามสะพรั่งแม้อายุอานามของนางจะมากโข สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไป หลังจากวันสุดท้ายที่เราเจอกัน คงมีแต่เพียงสีผม จากดำขลับมันกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ ... โลกนี้คล้ายจะหมุนช้าลง ... 'ผมตกอยู่ในห้วงมนต์สะกดแล้ว'
"ช่วยส่งมอบความหวังนี้ให้เอรี่ด้วยนะ ส่งให้ถึงมือของเธอให้ได้ วิลเลียม ... ฉันขอร้องล่ะ ..." นางพูดต่อไปไม่ไหวแล้ว ... เพราะน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ขวางกั้นความในใจของเธอเอาไว้ อันที่จริงผมคิดว่า นั่นคือคำอธิบายที่ดีที่สุด มันบอกเล่าเรื่องราวและความรู้สึกของนางได้อย่างสมบูรณ์แบบ
"กระหม่อมจะกระทำตามทุกถ้อยบัญชา ..." ผมถวายสัตย์ออกไป มันเป็นคำมั่นชั่วชีวิตของผม
"ถนอมตัวด้วย วิลเลียม" นางตรัสอีกครั้ง เบาๆ
ภาพของนางค่อยๆ จางลงไปอย่างสุดแสนจะอาภัพ น้ำตากับรอยยิ้มระเรื่อ ที่ระบายอยู่ที่พระพักตร์ก็เช่นกัน 'จากเรือนร่างสูงสง่า กลายเป็นระอองธุลีสีทองสุกสกาว ที่ปลิวไปกับใบไม้'
น้ำตาของผมหยดลง และแตกกระจายดุจแก้วใสบนพื้นคอนกรีต ... ผมถือกล่องไม้สี่เหลี่ยมเอาไว้ในมือ
------- (ยืนขึ้น !! เข่าที่อ่อนล้า // เราจะหาคำตอบนั้นด้วยกัน) -------
กริ๊งงง ------- !!!
เสียงกระดิ่งผลักฉันออกจากห้วงแห่งภวังค์ มือของฉันเย็นเฉียบไร้ความรู้สึก คำถามนับไม่ถ้วนท่วมท้นอยู่ในใจของฉัน สิ่งที่ฉันเห็นมันคืออะไรกัน ความรู้สึกเมื่อกี๊คืออะไรกัน ยังดี ... ที่ฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องทรุดลงไปกับพื้นแน่ๆ
เบื้องหน้าตัวเลขขยุกขยุยของทอม รอบๆ คือ เพื่อนนักเรียนในห้องสี่เหลี่ยม ที่กำลังจ้องอย่างเอาเป็นเอาตายไปที่กระดาน ใกล้จะสอบแล้วสินะ ... โลกยังคงหมุนไปเรื่อยๆ น่าแปลก คล้ายฉันจะเป็นคนบ้าอยู่เพียงลำพังในห้องนี้
"เอรี่ ..."
"เอรี่ ..."
"เอรี่ ... เธอเป็นอะไร" ลูซี่ร้องถามฉันสามครั้งเห็นจะได้ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมฉันถึงตอบเธอไม่ได้แม้แต่คำเดียว
กึกๆๆ ------- !!!
เธอเขย่าฉันเบาๆ พลางทอดสายตามองฉันด้วยความเป็นห่วง คิ้วของเธอขมวดลง เธอหรี่ตามองฉันด้วยความตั้งใจ พิจารณ์หาคำอธิบายถึงสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นกับฉัน
ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งจะเห็นภาพเดียวกับฉันแท้ๆ แต่เห็นได้ชัดว่า พวกมันไม่สามารถจะคุกคามจิตใจของเธอได้ แม้เพียงเศษเสี้ยวอณูหนึ่งของความกลัว
"เฮ้อออ ... เออ ... คือ ... " ฉันได้แต่อั้มอึ้ง พูดไม่ได้ศัพท์ ริมฝีปากกลายเป็นอวัยวะส่วนเกินไปเสียแล้ว
ลูซี่บีบมือของฉันจนแน่น สองตาดำขลับของเธอ ยังคงจ้องมองเข้าภายในดวงตาของฉัน ภายในความกลัวของฉัน ที่นั่น ... แม้จะเศร้าหมอง แต่ฉันยังสามารถมองเห็นเธอได้อยู่ ...
"ตอนนี้พักเที่ยงแล้ว เราจะไปหาคำอธิบายเรื่องนี้กัน" ลูซี่ยิ้มพลางเอ่ยขึ้นเบาๆ 'เพื่อนแกร่งของฉัน เธอนี่มันน่าทึ่งจริงๆ ขอบใจนะ ขอบใจที่เข้มแข็งเพื่อฉันเสมอมา' ฉันบีบมือเธอกลับไป แทนคำตอบ ...
------- (ปีเตอร์ // เด็กหนุ่มผู้อาภัพ) -------
เสียงสญญาณ 'กระดิ่ง' ช่วยผมเอาไว้จากคาบเรียนอันแสนทรมาน ผมปวดท้อง อันที่จริงผมอยากถ่ายเทความทุกข์นี้ลงกับโถส้วมมาตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว แต่สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรม 'ที่ดันมีคนคิดแบบเดียวกันกับผมนับร้อย'
ผมจึงจำเป็นต้องเก็บกด กัดฟันเรียนต่อไปจนถึงเวลาพักเที่ยง ตลอดเวลาที่ผมอยู่ในห้องเรียน ผมรู้สึกได้ถึงลำไส้ของผม มันบีดตัวเอง ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มันบิดตัวเอง ผมจะหน้ามืด มือไม้เย็นเฉียบ ... หมดเรี่ยวแรงเหมือนความตายอยู่ใกล้นิดเดียว ...
ผมไม่กล้าแม้แต่จะขออนุญาติมาร์เธอร์ประจำวิชาไปเข้าห้องน้ำ ผมคงอ่อนแอเกินกว่าจะทนเสียงหัวเราะเยาะของเพื่อนๆ ไหว 'เด็กขี้โรค เหยาะแหยะอย่างผม ไม่ไหวหรอก ไม่ไหวจริงๆ'
ผู้คนนับพันเบียดตัวเองไปตามขอบประตูคับแคบ ทำให้ทางเดินนี้แน่นขนัด เพื่อพาตัวเองลงไปสู่โรงอาหาร ต้องผ่านประตูนี้ มันเป็นเพียงช่องทางเดียวที่สามารถไปยังที่นั่นได้ ห้องน้ำ สวรรค์ของผม ก็อยู่ก่อนถึงประตูบานนั้นเพียงนิดเดียว 'ต้องรีบทำเวลาแล้ว'
ผมเบียดตัวเองไปตามคลื่นของฝูงชน กัดฟัน บอกตัวเองว่าอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ... หัวไหล่ของผมกระแทกผู้คนนับไม่ถ้วน ... ผมต้องผ่านไปให้ได้ ฮึ๊บ !!! ...
"ฉันเรียนไม่รู้เรื่องเลย" โอลิเวีย เพื่อนต่างห้องของผมเอ่ยขึ้น และมันแว่วเข้าหูผมพอดี
"ใครจะไปเข้าใจ ทึ่มๆ อย่างนั้นมาเป็นครูได้ไงกัน" เพตตูเซีย ย้ำ
อลิเชียมองทั้งสองด้วยหางตา เธอไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น ทั้งสามเป็นสุดยอดเพื่อนในแบบไฮโซ สวย เริด เฉิด รวย แม้พวเธอจะเดินอยู่บนทางเดินแคบๆ แต่ผู้คนก็ต่างพยายามหลีกทางให้กับพวกเธอ สามสาวดวงดาวแห่งโรงเรียนเซนต์ลูโอคอร์นเนีย ซึ่งมันทำให้ผมที่ไม่มีที่จะเดินอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีเข้าไปอีก
ครืดคราดๆ ------- !!! ลำไส้บิดตัวอีกครั้ง
ผมทรุดตัวลงไป หน้ามืดหมดเรี่ยวแรง ห้องน้ำ ผมถึงแล้ว พยายามออกแรงสุดฤทธิ์ที่จะเอื้อมมือไปจับลูกบิดสีทองเก่าๆ นั่น
ผู้คนต่างก็พยายามฝืนแรงของผม พวกเข้าก็ต้องรีบไปโรงอาหาร ทำให้ในที่สุด ผมก็ไหลไปตามกระแสคลื่นแห่งความหิว
โอยยย ผมคงจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะจู่ๆ มันก็ไหลออกมา
ปีสสสสสส ------- !!
คราบอุ่นๆ ไหลซึมเปียกกางเกงขาสั้นสีเทา ร่างผอมแห้งของผมล้มลงกับพื้นในที่สุด กลิ่นเหม็นลอดออกมาจากสองขากางเกง ผมอับอาย โกรธแค้น โกรธแค้นเกินกว่าครั้งใดในชีวิต ...
"อลิเชียเธอดูนั่นสิ ... อี๋" โอลิเวียสะกิดอลิเชียรัวๆ ด้วยความตื่นเต้น
"ฉันนึกแล้ว มันต้องเป็นเธอ ปีเตอร์" เพทตูเซียพูดใส่หน้าผมอย่างเย้ยหยัน
หนักสุดคงเป็นยัยอลิเชีย นอกจากสายตาเหยียดหยามและรอยยิ้มอย่างสมเพชที่มุมปาก เธอก็ไม่พูดอะไร แต่เธอก็กลับกำลังทำบางสิ่งบางอย่างแทน เธอเอามือลวงลงไปในกระเป๋าที่ประดับประดาไปด้วยลูกปัดใบนั้น
กระดาษชำระแผ่นบางปลิวละลิ้วลงมา มันตกลงบนพื้นไม้ของทางเดิน พวกเธอหันหลัง และเดินจากไปอย่างเย็นชา ทางเดินแหวกออกจนกลายเป็นช่องขนาดกว้างพอเดิน 'ทั้งหมดมันเป็นเพราะสิ่งที่อยู่ในกางเกงของผม'
ตึก ตึก ตึก ตึก --- !!
ผมกระแทกส้นของรองเท้าหนังคู่เงา ลงกับพื้นปูนอย่างถี่ๆ ด้วยก้าววิ่งที่เต็มไปด้วยความร้อนใจ แม้วิ่งเร็วจนสุดขีดกำลังขา แต่มันช่างเชื่องช้าและยาวไกล เหมือนว่าถนนสายนี้จะวกวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สายลมหยาบๆ พัดมาปะทะผิวหน้าตามจังหวะฝีก้าว ผมเตะกองใบไม้แห้งๆ บนพื้นถนนอย่างไม่แยแส 'องค์ราชินี ... กระหม่อมไม่ได้พบพระองค์นานเหลือเกิน'
ตึก ตึก ตึก ตึก --- !!
ผมวิ่งต่อไป ผ่านบรรดาต้นไม้สีเขียวครึ้ม ที่เรียงตัวกันอยู่จนแน่นขนัด ริมสองฝั่งถนน กิ่งก้านที่เคยโบกทักทายด้วยความเป็นมิตร ตอนนี้เปลี่ยนไป กลายเป็นเย็นชาและถมึงทึง เงาดำของพวกมัน เบียดเสียดตัวเองลงกับพื้น จนแทบจะทำให้กลางวันนั้นกลายเป็นกลางคืน ที่ลอดลงมาได้ ก็มีเพียงแค่แสงสลัวของพระอาทิตย์ยามเที่ยงเท่านั้น
ตึก ตึก ตึก ตึก --- !!
บ้านเรือนแถบนี้ล้วนแล้วแต่ไร้ซึ่งผู้คน แม้จะเคยเป็นถึงบ้านที่สวยงามหรูหราของบรรดามหาเศรษฐี แต่ในยามนี้มันก็เป็นได้เพียงแค่ตึกปูนเก่าๆ ที่รกร้างว่างเปล่า ภาพของพวกมันล้วนปลิวตัวผ่านสายตาของผมไปทีละหลัง ทีละหลัง ผมเร่งกำลัง สาวเท้าวิ่งผ่านไป 'ไม่มีเวลาแล้ว ... อีดนิดเดียวเท่านั้น'
ตึก ตึก ตึก ตึก --- !!
ผมถึงบ้านหลังสุดท้าย ท้ายสุดของถนน เอื้อมมือที่เปียกชุ่มด้วยเหงื่อ ไปเปิดประตูรั้วบ้านออกอย่างลวกๆ สูทสีเทาบนร่างชราของผมก็ไม่แตกต่างจากมือคู่นั้น มันถูกชโลมไปด้วยหยาดหยดแห่งความเหนื่อยล้าจนถ้วนทั่ว
แอ๊ดดด --- !!
บ้านไม้ของผมตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าอย่างเย็นชา ใครคนนั้นกำลังรอผมอยู่ สตรีผู้เลิอโฉม นางในชุดขาวบางเบา มงกุฏทองคำ แสงสว่างเจิดจรัส รอยยิ้มระเรื่อ ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนสงัดเงียบ สำหรับผม เธอไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด
"องค์ราชินี" ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ พลางคุกเข่าลงกับพื้นของเฉลียงบ้าน ด้วยความระลึกถึง ทั้งหมดที่มีในหัวใจ
"นานนัก เจ้ากับข้า ... สบายดีมั้ย ... สุขภาพของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" นางถามอย่างอ่อนโยนเช่นเคย
"กระหม่อมสบายดี แม้ชราแต่ยังเดินเหินได้ปกติ พะย่ะค่ะ"
พอจบประโยคสนทนา นางก็ทอดสายตา มองออกไปในช่วงเวลาที่ใบไม้ปลิวไปตามสายลม มือของนางยังจับหลวมๆ อยู่ที่ราวกั้น ระหว่างตัวบ้านกับสนาม มันสูงแค่เอว แต่ในตอนนี้มันกลับแข็งกร้าว ทะมึนทึก และดุดัน 'คงเป็นเพราะความอ่อนไหวของผมกระมัง'
"ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเฝ้ามองอนาคตของเมืองนี้ ผ่านสายตาของพวกเขา บางทีมันก็อาจจะคล้ายกับใบไม้ตรงนั้น ร่วงหล่นลงมา และปลิวไปตามลม" นางตรัสออกมาดุจคำสั่งลา
ผิวของนางขาวใส แสงสีนวลจางๆ ยังคงทอประกายระยับออกมาจากเรือนร่างของนาง จากตรงนี้สามารถมองเห็นรอยยิ้มระคนกับหยดน้ำตาที่ร่องแก้มได้อย่างเลือนๆ นางยังคงเป็นสาวงามสะพรั่งแม้อายุอานามของนางจะมากโข สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไป หลังจากวันสุดท้ายที่เราเจอกัน คงมีแต่เพียงสีผม จากดำขลับมันกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ ... โลกนี้คล้ายจะหมุนช้าลง ... 'ผมตกอยู่ในห้วงมนต์สะกดแล้ว'
"ช่วยส่งมอบความหวังนี้ให้เอรี่ด้วยนะ ส่งให้ถึงมือของเธอให้ได้ วิลเลียม ... ฉันขอร้องล่ะ ..." นางพูดต่อไปไม่ไหวแล้ว ... เพราะน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ขวางกั้นความในใจของเธอเอาไว้ อันที่จริงผมคิดว่า นั่นคือคำอธิบายที่ดีที่สุด มันบอกเล่าเรื่องราวและความรู้สึกของนางได้อย่างสมบูรณ์แบบ
"กระหม่อมจะกระทำตามทุกถ้อยบัญชา ..." ผมถวายสัตย์ออกไป มันเป็นคำมั่นชั่วชีวิตของผม
"ถนอมตัวด้วย วิลเลียม" นางตรัสอีกครั้ง เบาๆ
ภาพของนางค่อยๆ จางลงไปอย่างสุดแสนจะอาภัพ น้ำตากับรอยยิ้มระเรื่อ ที่ระบายอยู่ที่พระพักตร์ก็เช่นกัน 'จากเรือนร่างสูงสง่า กลายเป็นระอองธุลีสีทองสุกสกาว ที่ปลิวไปกับใบไม้'
น้ำตาของผมหยดลง และแตกกระจายดุจแก้วใสบนพื้นคอนกรีต ... ผมถือกล่องไม้สี่เหลี่ยมเอาไว้ในมือ
------- (ยืนขึ้น !! เข่าที่อ่อนล้า // เราจะหาคำตอบนั้นด้วยกัน) -------
กริ๊งงง ------- !!!
เสียงกระดิ่งผลักฉันออกจากห้วงแห่งภวังค์ มือของฉันเย็นเฉียบไร้ความรู้สึก คำถามนับไม่ถ้วนท่วมท้นอยู่ในใจของฉัน สิ่งที่ฉันเห็นมันคืออะไรกัน ความรู้สึกเมื่อกี๊คืออะไรกัน ยังดี ... ที่ฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องทรุดลงไปกับพื้นแน่ๆ
เบื้องหน้าตัวเลขขยุกขยุยของทอม รอบๆ คือ เพื่อนนักเรียนในห้องสี่เหลี่ยม ที่กำลังจ้องอย่างเอาเป็นเอาตายไปที่กระดาน ใกล้จะสอบแล้วสินะ ... โลกยังคงหมุนไปเรื่อยๆ น่าแปลก คล้ายฉันจะเป็นคนบ้าอยู่เพียงลำพังในห้องนี้
"เอรี่ ..."
"เอรี่ ..."
"เอรี่ ... เธอเป็นอะไร" ลูซี่ร้องถามฉันสามครั้งเห็นจะได้ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมฉันถึงตอบเธอไม่ได้แม้แต่คำเดียว
กึกๆๆ ------- !!!
เธอเขย่าฉันเบาๆ พลางทอดสายตามองฉันด้วยความเป็นห่วง คิ้วของเธอขมวดลง เธอหรี่ตามองฉันด้วยความตั้งใจ พิจารณ์หาคำอธิบายถึงสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นกับฉัน
ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งจะเห็นภาพเดียวกับฉันแท้ๆ แต่เห็นได้ชัดว่า พวกมันไม่สามารถจะคุกคามจิตใจของเธอได้ แม้เพียงเศษเสี้ยวอณูหนึ่งของความกลัว
"เฮ้อออ ... เออ ... คือ ... " ฉันได้แต่อั้มอึ้ง พูดไม่ได้ศัพท์ ริมฝีปากกลายเป็นอวัยวะส่วนเกินไปเสียแล้ว
ลูซี่บีบมือของฉันจนแน่น สองตาดำขลับของเธอ ยังคงจ้องมองเข้าภายในดวงตาของฉัน ภายในความกลัวของฉัน ที่นั่น ... แม้จะเศร้าหมอง แต่ฉันยังสามารถมองเห็นเธอได้อยู่ ...
"ตอนนี้พักเที่ยงแล้ว เราจะไปหาคำอธิบายเรื่องนี้กัน" ลูซี่ยิ้มพลางเอ่ยขึ้นเบาๆ 'เพื่อนแกร่งของฉัน เธอนี่มันน่าทึ่งจริงๆ ขอบใจนะ ขอบใจที่เข้มแข็งเพื่อฉันเสมอมา' ฉันบีบมือเธอกลับไป แทนคำตอบ ...
------- (ปีเตอร์ // เด็กหนุ่มผู้อาภัพ) -------
เสียงสญญาณ 'กระดิ่ง' ช่วยผมเอาไว้จากคาบเรียนอันแสนทรมาน ผมปวดท้อง อันที่จริงผมอยากถ่ายเทความทุกข์นี้ลงกับโถส้วมมาตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว แต่สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรม 'ที่ดันมีคนคิดแบบเดียวกันกับผมนับร้อย'
ผมจึงจำเป็นต้องเก็บกด กัดฟันเรียนต่อไปจนถึงเวลาพักเที่ยง ตลอดเวลาที่ผมอยู่ในห้องเรียน ผมรู้สึกได้ถึงลำไส้ของผม มันบีดตัวเอง ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มันบิดตัวเอง ผมจะหน้ามืด มือไม้เย็นเฉียบ ... หมดเรี่ยวแรงเหมือนความตายอยู่ใกล้นิดเดียว ...
ผมไม่กล้าแม้แต่จะขออนุญาติมาร์เธอร์ประจำวิชาไปเข้าห้องน้ำ ผมคงอ่อนแอเกินกว่าจะทนเสียงหัวเราะเยาะของเพื่อนๆ ไหว 'เด็กขี้โรค เหยาะแหยะอย่างผม ไม่ไหวหรอก ไม่ไหวจริงๆ'
ผู้คนนับพันเบียดตัวเองไปตามขอบประตูคับแคบ ทำให้ทางเดินนี้แน่นขนัด เพื่อพาตัวเองลงไปสู่โรงอาหาร ต้องผ่านประตูนี้ มันเป็นเพียงช่องทางเดียวที่สามารถไปยังที่นั่นได้ ห้องน้ำ สวรรค์ของผม ก็อยู่ก่อนถึงประตูบานนั้นเพียงนิดเดียว 'ต้องรีบทำเวลาแล้ว'
ผมเบียดตัวเองไปตามคลื่นของฝูงชน กัดฟัน บอกตัวเองว่าอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ... หัวไหล่ของผมกระแทกผู้คนนับไม่ถ้วน ... ผมต้องผ่านไปให้ได้ ฮึ๊บ !!! ...
"ฉันเรียนไม่รู้เรื่องเลย" โอลิเวีย เพื่อนต่างห้องของผมเอ่ยขึ้น และมันแว่วเข้าหูผมพอดี
"ใครจะไปเข้าใจ ทึ่มๆ อย่างนั้นมาเป็นครูได้ไงกัน" เพตตูเซีย ย้ำ
อลิเชียมองทั้งสองด้วยหางตา เธอไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น ทั้งสามเป็นสุดยอดเพื่อนในแบบไฮโซ สวย เริด เฉิด รวย แม้พวเธอจะเดินอยู่บนทางเดินแคบๆ แต่ผู้คนก็ต่างพยายามหลีกทางให้กับพวกเธอ สามสาวดวงดาวแห่งโรงเรียนเซนต์ลูโอคอร์นเนีย ซึ่งมันทำให้ผมที่ไม่มีที่จะเดินอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีเข้าไปอีก
ครืดคราดๆ ------- !!! ลำไส้บิดตัวอีกครั้ง
ผมทรุดตัวลงไป หน้ามืดหมดเรี่ยวแรง ห้องน้ำ ผมถึงแล้ว พยายามออกแรงสุดฤทธิ์ที่จะเอื้อมมือไปจับลูกบิดสีทองเก่าๆ นั่น
ผู้คนต่างก็พยายามฝืนแรงของผม พวกเข้าก็ต้องรีบไปโรงอาหาร ทำให้ในที่สุด ผมก็ไหลไปตามกระแสคลื่นแห่งความหิว
โอยยย ผมคงจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะจู่ๆ มันก็ไหลออกมา
ปีสสสสสส ------- !!
คราบอุ่นๆ ไหลซึมเปียกกางเกงขาสั้นสีเทา ร่างผอมแห้งของผมล้มลงกับพื้นในที่สุด กลิ่นเหม็นลอดออกมาจากสองขากางเกง ผมอับอาย โกรธแค้น โกรธแค้นเกินกว่าครั้งใดในชีวิต ...
"อลิเชียเธอดูนั่นสิ ... อี๋" โอลิเวียสะกิดอลิเชียรัวๆ ด้วยความตื่นเต้น
"ฉันนึกแล้ว มันต้องเป็นเธอ ปีเตอร์" เพทตูเซียพูดใส่หน้าผมอย่างเย้ยหยัน
หนักสุดคงเป็นยัยอลิเชีย นอกจากสายตาเหยียดหยามและรอยยิ้มอย่างสมเพชที่มุมปาก เธอก็ไม่พูดอะไร แต่เธอก็กลับกำลังทำบางสิ่งบางอย่างแทน เธอเอามือลวงลงไปในกระเป๋าที่ประดับประดาไปด้วยลูกปัดใบนั้น
กระดาษชำระแผ่นบางปลิวละลิ้วลงมา มันตกลงบนพื้นไม้ของทางเดิน พวกเธอหันหลัง และเดินจากไปอย่างเย็นชา ทางเดินแหวกออกจนกลายเป็นช่องขนาดกว้างพอเดิน 'ทั้งหมดมันเป็นเพราะสิ่งที่อยู่ในกางเกงของผม'
พัทลุง
วันหนึ่ง ... ลุงกับป้า สองสามีภรรยา
เพิ่งกลับจากการออกเรือ
หาปลา ... มาไกล
ก็มาพักอยู่ที่แกาะๆ หนึ่ง
เกาะนั้นร้อนมากๆ
ต่างฝ่ายต่างก็หยิบพัดขึ้นมา
คนละอัน
คนหนึ่งสีแดง
คนหนึ่งสีเขียว
ขาดก็แต่สีเหลือง
(บ้าา .. ไม่ใช่ธงสกา)
ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกแล้ว
ทั้งสองมองหน้ากัน
ส่งสายตา
ขยิบตา
ขยิบแรงๆ
ยังไม่พอ
แรงอีก แรงอีก ... เฮ้อ ...
อีกฝ่ายก็ไม่เข้าใจถึงความนัย
กาลเวลาผันผ่าน
นั่งอยู่นาน
ข้าวก็ไม่ได้กิน
จนในที่สุด
ป้าแกก็ออกเสียงออกมาจนได้
ว่า ...
"พัดเถอะลุง"
จึงกลายมาเป็นที่มาของชื่อ
จังหวัดพัทลุง จวบจนทุกวันนี้
เพิ่งกลับจากการออกเรือ
หาปลา ... มาไกล
ก็มาพักอยู่ที่แกาะๆ หนึ่ง
เกาะนั้นร้อนมากๆ
ต่างฝ่ายต่างก็หยิบพัดขึ้นมา
คนละอัน
คนหนึ่งสีแดง
คนหนึ่งสีเขียว
ขาดก็แต่สีเหลือง
(บ้าา .. ไม่ใช่ธงสกา)
ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกแล้ว
ทั้งสองมองหน้ากัน
ส่งสายตา
ขยิบตา
ขยิบแรงๆ
ยังไม่พอ
แรงอีก แรงอีก ... เฮ้อ ...
อีกฝ่ายก็ไม่เข้าใจถึงความนัย
กาลเวลาผันผ่าน
นั่งอยู่นาน
ข้าวก็ไม่ได้กิน
จนในที่สุด
ป้าแกก็ออกเสียงออกมาจนได้
ว่า ...
"พัดเถอะลุง"
จึงกลายมาเป็นที่มาของชื่อ
จังหวัดพัทลุง จวบจนทุกวันนี้
วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554
เรียน รู้ เข้าใจ ตอนที่ ๓
------- (คำถามจากน้องสาว) -------
สอบตกกลางภาค เครียดมาก ทำไงดี ที่บ้านก็บ่น ...
------- (คำตอบจากรุ่นพี่) -------
พี่เองก็เคยเป็น แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวของพี่ แม้สอบกลางภาคคะแนนจะออกมาไม่ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเกรดตอนปลายภาคจะไม่ดีตาม มีบ้างแต่ไม่ใช่ทุกครั้ง ขึ้นอยู่กับหลายๆ องค์ประกอบ
เช่น อาจารย์โหดหรือไม่ เรื่องที่เราเรียนเราถนัดหรือไม่ ความตั้งใจของเรามีมากเพียงพอหรือไม่ เราถูกกดดันมากเกินไปหรือไม่ ฯลฯ เวลาวางแผนการเรียน เราต้องคำนึงถึงสิ่งอื่นด้วย เพราะเราไม่ได้อยู่ในโลกนี้ลำพัง เรามีความสัมพันธ์กับ คน สัตว์ สิ่งของเสมอ หากความสัมพันธ์มันผิดที่ผิดทาง เราจะอาจได้รับผลกระทบในแง่ร้ายได้ ชาวบ้านเรียก สภาวะนี้ว่า 'ซวย' หรือซวยจริงๆ
พอเราคำนึงถึงองค์ประกอบเหล่านี้แล้วเราก็คำนวนว่าเราพอทำอะไรได้บ้าง เช่นบางคนถนัดทำมายแมพ เช่นพี่ การเรียนก็จะทำมายแมพ พี่พูดเก่งก็ชอบเข้าหาอาตารย์ ก็เข้าหาอาจารย์ เป็นต้น
อีกส่วนหนึ่งนอกจากเทคนิคหรือวิธีการแล้ว ก็ยังมีอีกเรื่องที่ควรใส่ใจคือเรื่อง ความคิด เพราะคนเราเก่งแค่ไหนแต่คิดแย่ๆ สุดท้ายผลมันก็จะออกมาแย่ๆ ความกดดันที่เราเจอ ไม่ว่าจะพ่อแม่ หรือเรื่องอื่นๆ พี่ท่องว่าอะไรจะเกิดมันย่อมต้องเกิด 'แต่เราต้องไม่ล้มด้วยตัวของเราเอง'
นั่นคือตัวเราต้องไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เราไม่ได้ไปต่อ เพราะฉะนั้นก็ทำเต็มที่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็ปล่อยมัน เราเป็นคนดี รักเพื่อน รักพ่อแม่ รักสังคมก็เพียงพอ
สุดท้ายพี่ของให้น้องๆ ประสบความสำเร็จ จำไว้ว่าคนเรียนดีไม่ได้ฉลาดเสมอไป และบางครั้งคนเรียนไม่มีก็ไม่ได้โง่เสมอไป เป็นธรรมดาที่การทำสอบแบบเดียวกัน จะได้ผลที่แตกต่าง ในแต่ละคน เพราะเรามีความสามารถและพรสวรรค์ที่แตกต่างกัน
ยิ้มแล้วก้าวต่อไป ถ้าเป็นพี่ พี่จะทำอย่างนั้น
วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ริมหาดบางแสน
ผมหยิกของผมปลิวตัวเองไปตามสายลมเค็มๆ 'ที่นี่ ... หาดบางแสน' ไม่รู้เพราะความคะนอง หรือแรงบันดาลใจอะไรที่ส่งผมให้จากเมืองกรุงบ้านเกิดของผมมาอยู่ที่นี่
ผมนั่งชันขาริมหาด เสียงคลื่นเป็นเพื่อน แม้มันจะไม่สะเทือนใจนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับทำลายความเหงา 'เป็นสุข สุนทรีย์ ไปกับบรรยากาศนี้ ท่ามกลางราตรี'
ผมหายใจเข้าลึกๆ ฟืดดด --- !!!
หืม ... กลิ่นสาหร่ายเน่าที่แสนจะคุ้นเคย โอเค ยังไม่ค่อยเสียอารมณ์เท่าไหร่ ... ผมคิดย้อน ถึงช่วงเวลาในชีวิตที่ผ่านมาแต่ละปี
เมื่อหลายปีที่แล้ว ผมก็นั่งตรงนี้ ในฐานะนักศึกษามอบูรพา ตอนนี้จบแล้ว กลับมานั่งในฐานะเจ้าของรายการวิทยุ ในฐานะคนธรรมดาที่เลือกเดินตามความฝัน จำได้ว่าทุกครั้งที่มานั่งตรงนี้ จะต้องเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตทุกที ซึ่งพอได้มาคิดที่นี่ก็จะพบกับคำตอบ ทุกครั้ง ใจลึกก็กลัวว่าสิ่งที่ทำอยู่มันจะเป็นแค่ความตั้งใจที่ทำไปได้สักพักแล้วเลิกหรือไม่ แต่คลื่นในทะเลก็กระซิบบอกผม
"เธออย่ากลัวเลย มันจะดีเอง เพราะความตั้งใจดีขอเธอ สักวันหนึ่งสังคมจะเข้าใจ"
"ฉันซัดที่หาดทรายทุกวัน สักวันหนึ่งพระจันทร์ก็คงได้ยินเช่นกัน"
คำปลอบใจจากเกลียวคลื่นผู้แสนอาภัพทำให้ผมได้คิด มันย้ำผมถึงอะไรบางอย่าง ความรักดั้งเดิม ที่ผมมีให้สังคม แรงขับเคลื่อนที่ทำให้ผมเอาชนะความลังเล และมาจัดรายการนี้ ครั้งนี้ความรักดั้งเดิมจะพาผมผ่านไปได้ ผมสบายใจขั้นมาก
"พระจันทร์ เกลียวคลืนน่ะ ... เค้ารักเธอมากเลยรู้มั้ย"
ผมตะโกนด้วยเสียงดัง หวังจะส่งเสี้ยวหนึ่งของความพยายามให้ไปถึงพระจันทร์ อดตอบแทนพระคุณของเพื่อนคนนี้ไม่ได้จริงๆ 'เอาล่ะ คืนนี้นอนนี่ละกัน'
ผมนั่งชันขาริมหาด เสียงคลื่นเป็นเพื่อน แม้มันจะไม่สะเทือนใจนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับทำลายความเหงา 'เป็นสุข สุนทรีย์ ไปกับบรรยากาศนี้ ท่ามกลางราตรี'
ผมหายใจเข้าลึกๆ ฟืดดด --- !!!
หืม ... กลิ่นสาหร่ายเน่าที่แสนจะคุ้นเคย โอเค ยังไม่ค่อยเสียอารมณ์เท่าไหร่ ... ผมคิดย้อน ถึงช่วงเวลาในชีวิตที่ผ่านมาแต่ละปี
เมื่อหลายปีที่แล้ว ผมก็นั่งตรงนี้ ในฐานะนักศึกษามอบูรพา ตอนนี้จบแล้ว กลับมานั่งในฐานะเจ้าของรายการวิทยุ ในฐานะคนธรรมดาที่เลือกเดินตามความฝัน จำได้ว่าทุกครั้งที่มานั่งตรงนี้ จะต้องเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตทุกที ซึ่งพอได้มาคิดที่นี่ก็จะพบกับคำตอบ ทุกครั้ง ใจลึกก็กลัวว่าสิ่งที่ทำอยู่มันจะเป็นแค่ความตั้งใจที่ทำไปได้สักพักแล้วเลิกหรือไม่ แต่คลื่นในทะเลก็กระซิบบอกผม
"เธออย่ากลัวเลย มันจะดีเอง เพราะความตั้งใจดีขอเธอ สักวันหนึ่งสังคมจะเข้าใจ"
"ฉันซัดที่หาดทรายทุกวัน สักวันหนึ่งพระจันทร์ก็คงได้ยินเช่นกัน"
คำปลอบใจจากเกลียวคลื่นผู้แสนอาภัพทำให้ผมได้คิด มันย้ำผมถึงอะไรบางอย่าง ความรักดั้งเดิม ที่ผมมีให้สังคม แรงขับเคลื่อนที่ทำให้ผมเอาชนะความลังเล และมาจัดรายการนี้ ครั้งนี้ความรักดั้งเดิมจะพาผมผ่านไปได้ ผมสบายใจขั้นมาก
"พระจันทร์ เกลียวคลืนน่ะ ... เค้ารักเธอมากเลยรู้มั้ย"
ผมตะโกนด้วยเสียงดัง หวังจะส่งเสี้ยวหนึ่งของความพยายามให้ไปถึงพระจันทร์ อดตอบแทนพระคุณของเพื่อนคนนี้ไม่ได้จริงๆ 'เอาล่ะ คืนนี้นอนนี่ละกัน'
คำคม ...
เหตุผลที่โลกนี้มีคนที่อ่อนแอ
เป็นเหตุผลเดียวกันกับที่โลกนี้ จำเป็นต้องมีคนที่เข้มแข็ง
'หนึ่งช่วยเหลือ หนึ่งยอมรับการช่วยเหลือ'
เพื่อให้โลกนี้ ทุกคนได้เป็นผู้รับและผู้ให้เท่าๆ กัน
เป็นเหตุผลเดียวกันกับที่โลกนี้
'หนึ่งช่วยเหลือ หนึ่งยอมรับการช่วยเหลือ'
เพื่อให้โลกนี้ ทุกคนได้เป็นผู้รับและผู้ให้เท่าๆ กัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)