แปดโมงเช้า วันจันทร์
ท่วงทำนองละมุนของเพลงรักดังแว่วผ่านแววตาของเขา เด็กหนุ่มผู้มีรอยยิ้มประดับไว้บนใบหน้า เขาเอิบอิ่มอ่อนโยนอยู่กลางความวุ่นวายของริมฝั่งถนน ที่ผู้คนต่างเบียดเสียดขวักไขว่
ความสุขสีชมพูระเรื่อสะเทือนเบา ๆ อยู่ที่สองหู เครื่องเล่นเพลงถูกใส่เอาไว้ในกระเป๋ากางเกงขาสั้นสีดำ เขาใส่คู่กันกับเสื้อนักเรียนสีขาวสะอาดเรียบ กระเป๋าหนังสีดำอยู่ในมือซ้าย มันแนบแอบอิงอยู่ข้างลำตัวของเขา ปลายรองเท้านันยางกระดิกขึ้นลงในทุกจังหวะของเสียงเพลง ห้วงความรักจากลำโพงทั้งสองข้างโปรยปรายไปในอากาศรอบตัว ท่ามกลางแสงสีทองของพระอาทิตย์ยามสาย
บรื้อนนนนนนนน !!
เสียงสนั่นของรถเมล์เล็กสายสิบสองใกล้เข้ามา มันเอาร่างสีเขียวข้ามผ่านพ้นแยกไฟแดงใกล้ ๆ นี้มาจนได้ ตามเคยที่คนแน่นล้นบันได เหลือที่ยืนเพียงนิดหน่อยเท่านั้น
เด็กหนุ่มสาวเท้าเร่งความเร็ว ก้าววิ่งไปบนพื้นถนนข้างหน้า รถเมล์จอดไกลเหลือเกิน ... เพื่อนร่วมทางล้นหลาม ต่างกรูกันไปที่รถ มันยังจอดไม่สนิทเลยด้วยซ้ำ เสียงแตรกู่ก้องไปทั่วจนไม่รู้ว่าใครบีบ "ต้องรีบแล้ว" เขาคิดในใจ
ปึก !
ภาพรถเมล์ข้างหน้ากลายเป็นสีเขียว มันมึดมัวลงไปสนิท มีอะไรบางสิ่ง ไม่สิ ! ใครบางคนต่างหาก ... ที่ชนเขาเข้าอย่างจัง
ภาพพร่ามัวตรงหน้าเริ่มชัดขึ้นทีละน้อย ร่างบอบบางของเด็กสาวในชุดนักเรียน ล้มกองอยู่ที่พื้นถนน เธอผมยาวประบ่า ผิวขาว ริบบิ้นรวบผมของเธอกับกระดาษเอสี่หลายสิบแผ่นกระจัดกระจายไปทั่ว
เด็กหนุ่มรีบพยุงเด็กสาวคนนั้นขึ้นเพื่อหลบรถคันหลังที่จะมีเข้ามาสมทบ
"เราต้องไปหาที่นั่งกันก่อนนะ ผมจะพยุงคุณเอง จับไหล่ผมเอาไว้" เด็กหนุ่มจับที่ข้อศอกของหญิงสาว เขาระมัดระวังไม่ให้แน่นจนเกินไป
"ถึงแล้วเก่งมาก คุณนั่งตรงนี้นะ" เขาเดินไปที่พื้นถนนอย่างระมัดระวัง เครื่องเล่นเพลงสีขาวและไวโอลินในกระเป๋าหนังสีดำถูกล้อรถเหยียบจนบี้แบน กระเป๋าหนังว่างเปล่ากระเด็นไปไกล มันถลอกปอกเปิกแต่ก็ยังพอใช้งานได้
เด็กสาวมองเขาอยู่ห่าง ๆ ผ่านสายตากลมโต ไม่นานนักเธอก็ก้มหน้า
เขาก้มตัวลงพลางเก็บชิ้นกระดาษเอสี่ที่ตกตรงนั้นทุกแผ่น ด้วยความระมัดระวัง สายตาของเขาเด็ดเดี่ยว ไม่พะว้าพะวงกับข้าวของที่เสียหายเลยแม้แต่น้อย เขาหันไปมองเธอคนนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าเธอปลอดภัยดี สังเกตอย่างละเอียดละออ เข่าทั้งสองของเธอถลอกไม่ต่างจากกระเป๋าหนังของเขา เสื้อนักเรียนของเธอเปื้อนคราบเขม่าดำไปเกือบทั้งตัว ตัวอักษร ส.ว. ปักอยู่ที่ ...
ชายหนุ่มรีบถอนสายตากลับมาเขาไม่อยากลวนลามเธอด้วยสายตาของเขา ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจ
เปรี้ยง ! เสียงดังสนั่นกว่าครั้งแรก ... โลกใบเดิมหมุนคว้าง พลันเงียบงัน
************************
"เกือบถึงแล้ว ทำใจดี ๆ เอาไว้นะพ่อหนุ่ม" ชายวัยกลางคนตะโกนบอกเขา บางสิ่งเกิดขึ้นกับเขา ทุกอย่างพร่ามัวแทบมองไม่เห็น ดวงไฟสีขาวฉายอย่างเบลอเต็มไปหมด เสียงอื้ออึงคนึงไปทั่วหู
"เขาฟื้นแล้ว เลือดออกมาก ต้องห้ามเลือดก่อนที่เขาจะช๊อค"
"ความดันของเขาตกลงมาก เรารอไม่ได้แล้วให้อดรีนารีน" หมอจากศูนย์กู้ชีพนเรนทรขานอาการของเด็กหนุ่มเป็นระยะ พวกเขาพยายามยื้อชีวิตของเขาเอาไว้
ไฟสว่างไสว่จากไปแล้ว คงเหลือแต่เพียงความมืดมิดบนหนทางเลือน ๆ
วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ฝนที่โปรย ... คือน้ำตาของฉัน : บทนำ
รักคืออะไร ???
คือการเอาของไปวางตรงที่ที่มันควรจะอยู่
คือการเอาหัวใจไปไว้ในที่ของมัน
ไม่ใช่ที่หน้าอกข้างซ้ายของผม
ตรงนั้น !!
ข้าง ๆ หัวใจของเธอต่างหาก ...
-------------------------------------
ทุกวันผมจะนั่งลงที่ม้านั่งยาวสีขาว เพื่อเฝ้ามองใครบางคนที่ผมก็ไม่รู้ว่าใคร ในสวนสาธารณะเก่าแห่งนี้ ผมหาสักคนที่ผมจะรัก "ใครคนนั้นในใครบางคน"
อันที่จริงผมแค่ทอดถอนหายใจทิ้งมากกว่า ผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอใครคนนั้นในพื้นที่เขียว ๆ นี้สักเท่าไหร่ รักน่ะเหรอ "มันยากสำหรับผม และคงยากยิ่งกว่า ถ้าไม่มีใครให้รัก"
จากตรงนี้ มีผู้คนวิ่งอยู่มากมายขวักไขว่ ผมลุกขึ้นยืน และสาวก้าวบาง ๆ ไปบนหนทางที่จะนำผมกลับห้องพัก
"กำแพงสี่เหลี่ยมหนา ๆ ที่คอยทำร้ายผมอยู่ทุกห้วงอารมณ์เหงา"
-------------------------------------
ทุกวันผมจะนั่งลงที่ม้านั่งยาวสีขาว เพื่อเฝ้ามองใครบางคนที่ผมก็ไม่รู้ว่าใคร ในสวนสาธารณะเก่าแห่งนี้ ผมหาสักคนที่ผมจะรัก "ใครคนนั้นในใครบางคน"
อันที่จริงผมแค่ทอดถอนหายใจทิ้งมากกว่า ผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอใครคนนั้นในพื้นที่เขียว ๆ นี้สักเท่าไหร่ รักน่ะเหรอ "มันยากสำหรับผม และคงยากยิ่งกว่า ถ้าไม่มีใครให้รัก"
จากตรงนี้ มีผู้คนวิ่งอยู่มากมายขวักไขว่ ผมลุกขึ้นยืน และสาวก้าวบาง ๆ ไปบนหนทางที่จะนำผมกลับห้องพัก
"กำแพงสี่เหลี่ยมหนา ๆ ที่คอยทำร้ายผมอยู่ทุกห้วงอารมณ์เหงา"
โบยบิน ...
คงมีสักวัน ที่เธอจะโบยบิน ก้อนเมฆสีขาวนวล
ล่องลอยชวนใฝ่ฝัน ในยามสนทยา
เต้นรำยามค่ำท่ามกลางฝูงสกุนา
ด้วยเสียงเพรียกแห่งทุ่งหญ้า ในยามราตรี
สายลมจะโบก อยู่ใต้ปีกของเธอ
เราจะถลาไปด้วยกันถึงที่ขอบฟ้า สายรุ้งยามอรุณเอ๋ย
สูงขึ้น และสูงขึ้นอีก
ไปถึงยามตะวันโปรบปรายแสงสีทอง ...
ใบหน้าของฉัน ยามจ้องมองผ่านเงาในสายตาของเธอ
ฉันเห็นอะไร
ฉันเห็นเธอคนนั้น แม่อรชร เนื้ออ่อน ชุ่มฉ่ำ เสียงกระซิบ
ฉันโอบหัวใจของเธอเอาไว้แล้ว แม่นางนวลแห่งยามรุ่ง
จูบเธอเบา ๆ ด้วยยิ้มของฉัน
ประพรมเธอด้วยรัก กลางแสงดาวพร่างพราว
แม่ยอดดวงใจ ... เราจะผ่านวันนคืนแห่งทิวาราตรีไปด้วยกัน
ล่องลอยชวนใฝ่ฝัน ในยามสนทยา
เต้นรำยามค่ำท่ามกลางฝูงสกุนา
ด้วยเสียงเพรียกแห่งทุ่งหญ้า ในยามราตรี
สายลมจะโบก อยู่ใต้ปีกของเธอ
เราจะถลาไปด้วยกันถึงที่ขอบฟ้า สายรุ้งยามอรุณเอ๋ย
สูงขึ้น และสูงขึ้นอีก
ไปถึงยามตะวันโปรบปรายแสงสีทอง ...
ใบหน้าของฉัน ยามจ้องมองผ่านเงาในสายตาของเธอ
ฉันเห็นอะไร
ฉันเห็นเธอคนนั้น แม่อรชร เนื้ออ่อน ชุ่มฉ่ำ เสียงกระซิบ
ฉันโอบหัวใจของเธอเอาไว้แล้ว แม่นางนวลแห่งยามรุ่ง
จูบเธอเบา ๆ ด้วยยิ้มของฉัน
ประพรมเธอด้วยรัก กลางแสงดาวพร่างพราว
แม่ยอดดวงใจ ... เราจะผ่านวันนคืนแห่งทิวาราตรีไปด้วยกัน
วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
วันนั้น ในวันนี้ ตอนที่ ๒
ผมฟาดเขาด้วยความรู้สึกโกรธเกลี้ยว "ทำไมมันไม่พูดอะไรเลย"
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งกำลังสูบเอาควันสีลาง ๆ จากมวลบุหรี่เข้าในปอด อีกมือหนึ่งสั่นเทากำเข็มขัดแน่น คราบเลือดที่หัวเข็มขัดยังติดอยู่ น้ำใสประกายระยับอาบสองแก้ม ... ท่วมท้นจากเบ้าตาไหลลงสู่ปกเสื้อ
เขาตัดสินใจวิ่งเข้าไปกอดลูกชายของเขาเอาไว้ ลูกชายผู้ที่กำลังโอบกอดเพื่อนคนเดียวของเขา "หูโทรศัพท์"
สายตาจ้องประสานสายตา ครูอำพรยังอยู่ในสาย ความเงียบงันฟุ้งกระเซ็นไปทั่วห้องนั้น พรมใต้เท้าสีน้ำเงิน บ้านรโหฐาน เย็นชา ... ทมึนทึบ ไร้ความปราณี
"พ่อจะไม่ตีลูกอีก พ่อจะไม่ตีลูกอีกตลอดไป พ่อสัญญา ตึ๋งหนืดลูกรักของพ่อ"
ผมโอบลูกชายตัวน้อยที่ใบหน้าของเขามีบาดแผลเอาไว้ในอ้อมอก แม้ตายก็จะไม่ผิดสัญญา "เราไปโรงพยาบาลกันนะลูกนะ" หูโทรศัพท์ถูกวางไว้ที่พื้น ครูอำพรยิ้มตื่นตัน เขาทั้งสองจากไปแล้ว ...
รถเชฟคาเมโร่ ยุค 70 ถูกติดเครื่องกลางสายฝน ผมประคองเด็กชายในอ้อมแขน เขาตัวเย็น ปากซีด ไม่ค่อยตอบสนอง นี่ผมทำอะไรลงไป !! เสียเขาไป ผมจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?? หากแต่วันนี้มันไม่ได้เป็นคำถามสำหรับผม มันคือคำตอบต่างหาก ... คำตอบที่ว่าหลังจากนี้เราจะเป็นพ่อลูกกันแบบไหน
โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์อยู่เบื่องหน้า มันพร่ามัวตรงกระจกหน้าของรถ ฝนยังคงตกหนัก ใครบางคนคงร้องไห้ในสิ่งที่ผมได้ทำลงไป
หมอพาเด็กชายไปเย็บแผล ผมเฝ้าเขาทั้งคืน ไม่นอน ไม่ไปไหนทั้งนั้น ตั้งแต่แม่เขาจากไปเด็กคนนี้ไม่มีใครนอกจากผม มือเขาในมือผม "เราช่างเหมือนกันเหลือเกิน ลูกเป็นลูกพ่อสินะ"
ชายผู้ที่ต่อมาในอนาคต น้ำตาเขาต้องไหล พูดเอาไว้ในวันที่เด็กชายหลับตาว่าในชีวิตของเขา "เขารองไห้เพียงสองครั้ง"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งกำลังสูบเอาควันสีลาง ๆ จากมวลบุหรี่เข้าในปอด อีกมือหนึ่งสั่นเทากำเข็มขัดแน่น คราบเลือดที่หัวเข็มขัดยังติดอยู่ น้ำใสประกายระยับอาบสองแก้ม ... ท่วมท้นจากเบ้าตาไหลลงสู่ปกเสื้อ
เขาตัดสินใจวิ่งเข้าไปกอดลูกชายของเขาเอาไว้ ลูกชายผู้ที่กำลังโอบกอดเพื่อนคนเดียวของเขา "หูโทรศัพท์"
สายตาจ้องประสานสายตา ครูอำพรยังอยู่ในสาย ความเงียบงันฟุ้งกระเซ็นไปทั่วห้องนั้น พรมใต้เท้าสีน้ำเงิน บ้านรโหฐาน เย็นชา ... ทมึนทึบ ไร้ความปราณี
"พ่อจะไม่ตีลูกอีก พ่อจะไม่ตีลูกอีกตลอดไป พ่อสัญญา ตึ๋งหนืดลูกรักของพ่อ"
ผมโอบลูกชายตัวน้อยที่ใบหน้าของเขามีบาดแผลเอาไว้ในอ้อมอก แม้ตายก็จะไม่ผิดสัญญา "เราไปโรงพยาบาลกันนะลูกนะ" หูโทรศัพท์ถูกวางไว้ที่พื้น ครูอำพรยิ้มตื่นตัน เขาทั้งสองจากไปแล้ว ...
รถเชฟคาเมโร่ ยุค 70 ถูกติดเครื่องกลางสายฝน ผมประคองเด็กชายในอ้อมแขน เขาตัวเย็น ปากซีด ไม่ค่อยตอบสนอง นี่ผมทำอะไรลงไป !! เสียเขาไป ผมจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?? หากแต่วันนี้มันไม่ได้เป็นคำถามสำหรับผม มันคือคำตอบต่างหาก ... คำตอบที่ว่าหลังจากนี้เราจะเป็นพ่อลูกกันแบบไหน
โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์อยู่เบื่องหน้า มันพร่ามัวตรงกระจกหน้าของรถ ฝนยังคงตกหนัก ใครบางคนคงร้องไห้ในสิ่งที่ผมได้ทำลงไป
หมอพาเด็กชายไปเย็บแผล ผมเฝ้าเขาทั้งคืน ไม่นอน ไม่ไปไหนทั้งนั้น ตั้งแต่แม่เขาจากไปเด็กคนนี้ไม่มีใครนอกจากผม มือเขาในมือผม "เราช่างเหมือนกันเหลือเกิน ลูกเป็นลูกพ่อสินะ"
ชายผู้ที่ต่อมาในอนาคต น้ำตาเขาต้องไหล พูดเอาไว้ในวันที่เด็กชายหลับตาว่าในชีวิตของเขา "เขารองไห้เพียงสองครั้ง"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
วันนั้น ในวันนี้ ตอนที่ ๑
ได้อ่านบันทึกของเด็กหญิงพูดน้อยคนหนึ่ง เธอเป็นคนไม่ใคร่มีเพื่อน แต่แน่นอน ไม่ได้หมายความว่าเธอไร้ความรู้สึก งานเขียนของคนพูดน้อยคนนี้นั้นสะเทือนใจผมทุกครั้งที่ผ่านตา ไม่ว่าจะแค่กวาดสายตา หรืออ่านอย่างใคร่ครวญเพ่งพิจารณา มันทำให้ผมได้ย้อนดูเงาของตัวเองในกระจกบานใสใบน้อยของเธอ
มองเด็กชาย "วราวุฒิ" ในวันวานผ่านวินาทีของเด็กหญิง ...
มันเป็นห้วงเวลาภายในห้องเรียนเก่า ๆ ที่พื้นทำด้วยการเอาไม้กระดานมาเรียงกัน ผนังห้องก็เป็นไม้สีเขียวแก่ ห้องเรียนนี้ทำจากไม่ทั้งหลัง มันส่งเสียงออดแอดทุกครั้งที่ฉันเขยื้อนเท้าที่อยู่ภายในถุงเท้าเขรอะไปมา
เด็กน้อยซึ่งไปโรงเรียนช้ากว่าเด็กคนอื่น แก่กว่าเพื่อนทุกคนในชั้นเรียน อ่านน้อย พูดน้อย เขียนไม่ได้ เขาคนนั้นทำได้เพียงแค่หยิบสีเทียนมาวาดความรู้สึกลงบนกระดาษ เฝ้าคอยเหลือเกินที่เพื่อนจะกลับบ้านจนหมด จะได้มีเวลาอยู่คนเดียวในห้องเรียนที่มีเพียงครูอนุบาลเดินไปเดินมา
รูปผู้คนถูกวาดลงไปอย่างบรรจง บนกระดาษที่วาดซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ ฉันนั่งวาดตั้งแต่เข็มสั้นของนาฬิหาชี้ที่เลขสามจนกระทั่งพี่ชายมารับกลับบ้าน ซึ่งมันชี้ที่เลขหกพอดี เป็นอย่างนี้อยู่ทุกวัน
เมื่อมีเพื่อนในห้องกำลังจะถูกตี ฉันยืนขึ้นมาขวางครู "อำพร" พูดเสียงดังว่า "ครูตีเพื่อนผมเท่าไหร่ ตีผมเท่ากัน" ผมทนไม่ได้หากเพื่อนจะถูกตีเพียงลำพัง ทนเห็นอณูของความเจ็บปวดที่ลอยคว้างในอากาศไม่ได้ เพราะผมคือคนที่ถูกทิ้ง ต้องอยู่คนเดียว และเจ็บเกินกว่าที่เด็กชายคนหนึ่งจะนิยาม กระนั้นคนที่ผมปกป้องเอาไว้ผมก็ไม่ได้นับเพื่อนอย่างสนิทใจ
ครูอำพร ครูหญิงวัยชราคือเพื่อนคนเดียวของผม
ทุกครั้งที่พ่อโหมกระหน่ำเข็มขัดลงบนหน้าเด็กชายคนนั้น เธอคือคนที่ผมโทรศัพท์ไปหาเพื่อระบาย "ครูครับพ่อตีผม ผมเจ็บตรงนี้ เลือดไหลด้วย" ใช่นั่นแหละพ่อผม พ่อคนเดียวกันกับที่เป็นฮีโร่ให้ผมตอนโต
ทำไมน่ะเหรอ เอาไว้ผมจะเล่าให้ฟัง ...
มองเด็กชาย "วราวุฒิ" ในวันวานผ่านวินาทีของเด็กหญิง ...
มันเป็นห้วงเวลาภายในห้องเรียนเก่า ๆ ที่พื้นทำด้วยการเอาไม้กระดานมาเรียงกัน ผนังห้องก็เป็นไม้สีเขียวแก่ ห้องเรียนนี้ทำจากไม่ทั้งหลัง มันส่งเสียงออดแอดทุกครั้งที่ฉันเขยื้อนเท้าที่อยู่ภายในถุงเท้าเขรอะไปมา
เด็กน้อยซึ่งไปโรงเรียนช้ากว่าเด็กคนอื่น แก่กว่าเพื่อนทุกคนในชั้นเรียน อ่านน้อย พูดน้อย เขียนไม่ได้ เขาคนนั้นทำได้เพียงแค่หยิบสีเทียนมาวาดความรู้สึกลงบนกระดาษ เฝ้าคอยเหลือเกินที่เพื่อนจะกลับบ้านจนหมด จะได้มีเวลาอยู่คนเดียวในห้องเรียนที่มีเพียงครูอนุบาลเดินไปเดินมา
รูปผู้คนถูกวาดลงไปอย่างบรรจง บนกระดาษที่วาดซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ ฉันนั่งวาดตั้งแต่เข็มสั้นของนาฬิหาชี้ที่เลขสามจนกระทั่งพี่ชายมารับกลับบ้าน ซึ่งมันชี้ที่เลขหกพอดี เป็นอย่างนี้อยู่ทุกวัน
เมื่อมีเพื่อนในห้องกำลังจะถูกตี ฉันยืนขึ้นมาขวางครู "อำพร" พูดเสียงดังว่า "ครูตีเพื่อนผมเท่าไหร่ ตีผมเท่ากัน" ผมทนไม่ได้หากเพื่อนจะถูกตีเพียงลำพัง ทนเห็นอณูของความเจ็บปวดที่ลอยคว้างในอากาศไม่ได้ เพราะผมคือคนที่ถูกทิ้ง ต้องอยู่คนเดียว และเจ็บเกินกว่าที่เด็กชายคนหนึ่งจะนิยาม กระนั้นคนที่ผมปกป้องเอาไว้ผมก็ไม่ได้นับเพื่อนอย่างสนิทใจ
ครูอำพร ครูหญิงวัยชราคือเพื่อนคนเดียวของผม
ทุกครั้งที่พ่อโหมกระหน่ำเข็มขัดลงบนหน้าเด็กชายคนนั้น เธอคือคนที่ผมโทรศัพท์ไปหาเพื่อระบาย "ครูครับพ่อตีผม ผมเจ็บตรงนี้ เลือดไหลด้วย" ใช่นั่นแหละพ่อผม พ่อคนเดียวกันกับที่เป็นฮีโร่ให้ผมตอนโต
ทำไมน่ะเหรอ เอาไว้ผมจะเล่าให้ฟัง ...
วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
กำลัง ท่ามกลาง สายหมอก
กำลังสร้าง เต็มกำลัง
ผ่านพ้น ซากปรักหัก พังทลาย
ความ "ชั่ว" ในใจจงสูญสลาย
มลายสิ้นซาก ไม่เหลือ
ให้ข้าได้วิ่ง ท่ามกลางหมอก กลางทิวา ราตรีกาล
ให้ข้า เบิกบาน ท่ามกลางแสงของอรุณ ที่ขอบฟ้า
ให้ข้าได้วิ่ง บนเกลี่ยวคลื่น ท่ามกลางสกุนา
ยามอ่อนล้า ให้ข้ากำหมัดแน่น ลุกขึ้นยืน ท้าทาย
โปรดสร้างใจหาญฮึก ภายใน
โปรดให้ข้าหลับไหล ท่ามกลางเมฆ
ให้ข้าต่อสู้ ไม่ย่อมพ่ายแพ้ต่อ "ปัจเจก"
โปรดเสก ให้ข้า อยู่ในนิรันดร์
ผ่านพ้น ซากปรักหัก พังทลาย
ความ "ชั่ว" ในใจจงสูญสลาย
มลายสิ้นซาก ไม่เหลือ
ให้ข้าได้วิ่ง ท่ามกลางหมอก กลางทิวา ราตรีกาล
ให้ข้า เบิกบาน ท่ามกลางแสงของอรุณ ที่ขอบฟ้า
ให้ข้าได้วิ่ง บนเกลี่ยวคลื่น ท่ามกลางสกุนา
ยามอ่อนล้า ให้ข้ากำหมัดแน่น ลุกขึ้นยืน ท้าทาย
โปรดสร้างใจหาญฮึก ภายใน
โปรดให้ข้าหลับไหล ท่ามกลางเมฆ
ให้ข้าต่อสู้ ไม่ย่อมพ่ายแพ้ต่อ "ปัจเจก"
โปรดเสก ให้ข้า อยู่ในนิรันดร์
สดุดี บทที่ ๙๐ ข้อ ๑ ถึง ๔
... ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
พระองค์ทรงเป็นที่อาศัยของข้าพระองค์ทั้งหลาย ตลอดทุกชาติพันธุ์
ก่อนที่ภูเขาทั้งหลายเกิดขึ้นมา
ก่อนที่พระองค์ทรงให้กำเนิดแผ่นดินโลกและพิภพ
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดร์กาล
ถึงนิรันดร์กาล
พระองค์ทรงให้มนุษย์กลับเป็นผงคลี
และตรัสว่า "ลูกหลานของมนุษย์เอ๋ย จงกลับเถิด"
เพราะพันปีในสายพระเนตรของพระองค์
เหมือนวานนี้ซึ่งผ่านไปแล้ว
หรือเหมือนยามเดียวในกลางคืน ...
ผมวิงวอนต่อพระเจ้าที่ผมศรัทธา ขอพระว่า ...
โปรดสลายความเห็นแก่ตัวของผม
พระเยซูรักโลกนี้เท่าไหร่
ขอทรงใส่มาให้ผมเท่ากัน
ให้ผมมีกำลังข้ามความโกรธ ไปสู่ "การให้อภัย"
ข้ามความเกลียดไปสู่ "ความรักเที่ยงแท้"
เพราะตะวันส่องแสงให้ทุกคนเท่ากัน
และแม่น้ำก็ให้ความชื่นฉ่ำเท่าเดิม
พระองค์ทรงเป็นที่อาศัยของข้าพระองค์ทั้งหลาย ตลอดทุกชาติพันธุ์
ก่อนที่ภูเขาทั้งหลายเกิดขึ้นมา
ก่อนที่พระองค์ทรงให้กำเนิดแผ่นดินโลกและพิภพ
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดร์กาล
ถึงนิรันดร์กาล
พระองค์ทรงให้มนุษย์กลับเป็นผงคลี
และตรัสว่า "ลูกหลานของมนุษย์เอ๋ย จงกลับเถิด"
เพราะพันปีในสายพระเนตรของพระองค์
เหมือนวานนี้ซึ่งผ่านไปแล้ว
หรือเหมือนยามเดียวในกลางคืน ...
ผมวิงวอนต่อพระเจ้าที่ผมศรัทธา ขอพระว่า ...
โปรดสลายความเห็นแก่ตัวของผม
พระเยซูรักโลกนี้เท่าไหร่
ขอทรงใส่มาให้ผมเท่ากัน
ให้ผมมีกำลังข้ามความโกรธ ไปสู่ "การให้อภัย"
ข้ามความเกลียดไปสู่ "ความรักเที่ยงแท้"
เพราะตะวันส่องแสงให้ทุกคนเท่ากัน
และแม่น้ำก็ให้ความชื่นฉ่ำเท่าเดิม
วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ราตรี ท่ามกลางดาวและพระจันทร์
ฉันจ้องมอง ไปยัง ห้วงอดีต
ฉันขีดเขียน ความจริง ในความฝัน
ฉันตื่นมา เพื่อจ้อง มองพระจันทร์
ดูโลกนั้นแปรเปลี่ยนไปตามกาล
กางนิวมื้อ ขึ้นมา ตั้งตานับ
หนึ่งสอง นิ้วขยับ ฉันร้องขาน
ท่ามกลาง ห้วงราตรี งามตระการ
ฉันเบ่งบาน โบกโบย ด้วยจินตณา
เพื่อนของฉัน ตอนนี้ กี่คนหนอ
กี่คน ถึงจะพอ ไม่โศกศา
เริ่มนับไป นับไป มีน้ำตา
เพราะเพื่อนพา ลาลับ ไม่กลับคืน
ฮือ ฮือ แอ้ ฮือ ฮือ คือฉัน ที่ร้อง
นั่งเฝ้ามอง ปล่อยให้ใจ ได้สะอื้น
กี่วันแล้ว กี่คืนแล้ว ที่ต้องตื่น
ที่ต้องฟื้น ขึ้นมา ท่ามกลางดาว
ค่ำนี้ คืนนี้ ฉันคง ไม่อ้างว้าง
เพราะฉันวาง ลมหายใจ ในความฝัน
หลับตาลง คงเจอ กันและกัน
เก็บนิ้วพลัน เก็บความช้ำ ตรงกลางใจ
ฉันขีดเขียน ความจริง ในความฝัน
ฉันตื่นมา เพื่อจ้อง มองพระจันทร์
ดูโลกนั้นแปรเปลี่ยนไปตามกาล
กางนิวมื้อ ขึ้นมา ตั้งตานับ
หนึ่งสอง นิ้วขยับ ฉันร้องขาน
ท่ามกลาง ห้วงราตรี งามตระการ
ฉันเบ่งบาน โบกโบย ด้วยจินตณา
เพื่อนของฉัน ตอนนี้ กี่คนหนอ
กี่คน ถึงจะพอ ไม่โศกศา
เริ่มนับไป นับไป มีน้ำตา
เพราะเพื่อนพา ลาลับ ไม่กลับคืน
ฮือ ฮือ แอ้ ฮือ ฮือ คือฉัน ที่ร้อง
นั่งเฝ้ามอง ปล่อยให้ใจ ได้สะอื้น
กี่วันแล้ว กี่คืนแล้ว ที่ต้องตื่น
ที่ต้องฟื้น ขึ้นมา ท่ามกลางดาว
ค่ำนี้ คืนนี้ ฉันคง ไม่อ้างว้าง
เพราะฉันวาง ลมหายใจ ในความฝัน
หลับตาลง คงเจอ กันและกัน
เก็บนิ้วพลัน เก็บความช้ำ ตรงกลางใจ
หมุน
... โลกใส ๆ ภายนอกบานกระจกที่ร้านกาแฟวันนี้หมุนไปเป็นวง ขณะที่ใครบางคนจากลา ใครคนหนึ่งเดิน อีกคนหนึ่งหยุดอยู่กับที่ เขาหยิบผมขึ้นมา ตัวผมก็หมุนไปอีกครา เวลาคือสิ่งที่หยุดนิ่ง หากแต่บางสิ่งกำลังเครื่อนไหว ความรู้สึก บางความรู้สึกนั่นไง ... ค่อย ๆ ไหลจากผมไปสู่เขา
ผมร้องไห้ปนน้ำตาลงในกาแฟม๊อคค่า ชายคนนั้นดื่มเอาความโศกศา เหมือนภาพทั้งหมดเป็นมายา แต่ก็นะ ... ที่มันมีอยู่จริง ชายคนนั้นจ้องมองมาที่ผมด้วยตาเศร้าหมอง เขาคงดื่มความทุกข์ของผมเข้าไปแล้ว กาแฟในเวลานี้คงไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ความรื่นรมณ์ หากแต่เป็น “เรา” ที่เข้าใจกัน
“โดยปราศจากคำพูดใด ๆ ระหว่างแก้วกับคนถือ”
ผมร้องไห้ปนน้ำตาลงในกาแฟม๊อคค่า ชายคนนั้นดื่มเอาความโศกศา เหมือนภาพทั้งหมดเป็นมายา แต่ก็นะ ... ที่มันมีอยู่จริง ชายคนนั้นจ้องมองมาที่ผมด้วยตาเศร้าหมอง เขาคงดื่มความทุกข์ของผมเข้าไปแล้ว กาแฟในเวลานี้คงไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ความรื่นรมณ์ หากแต่เป็น “เรา” ที่เข้าใจกัน
“โดยปราศจากคำพูดใด ๆ ระหว่างแก้วกับคนถือ”
ฉันถามหา "นิรันดร์"
... ฉันยังสับสน
วิ่งวนเคว้งคว้าง
เปียกอารมณ์ก็มีบ้าง
หลายคราค้างแห้งผาก
... ฉันยังจมดิ่ง
อยากทิ้ง ทำไม่ไหว
จะเรียกร้องอะไรได้
ดวงตาใบ้เงียบงัน
ประพรม ลมหายใจ
โหยอุ่นไอกันและกัน
ครวญหาความหมายทุกคืนวัน
เธอและฉัน "นิรันดร์" สองเรา
วิ่งวนเคว้งคว้าง
เปียกอารมณ์ก็มีบ้าง
หลายคราค้างแห้งผาก
... ฉันยังจมดิ่ง
อยากทิ้ง ทำไม่ไหว
จะเรียกร้องอะไรได้
ดวงตาใบ้เงียบงัน
ประพรม ลมหายใจ
โหยอุ่นไอกันและกัน
ครวญหาความหมายทุกคืนวัน
เธอและฉัน "นิรันดร์" สองเรา
คล้ายตื่นคล้ายรัก
งัวเงีย
งืมงำ
ดื่มด่ำ
ชุ่มจิต
ฝนโปรย
โรยรา
ฟ้าครวญ
ห้วงคนึง
คิดถึงในใจ
ที่พึ่งของวิญญาณ
ตื่นมาคล้ายความรัก
สักพักรู้สึก ...
นึกถึงห้วงเวลาผ่าน
เจ็บแปล๊บ แต่สิ้นกัลปาฯ
มีคำถามเมื่อวาน ฉันเคยรักใคร
หรือใคร ที่ฉันเป็น
งืมงำ
ดื่มด่ำ
ชุ่มจิต
ฝนโปรย
โรยรา
ฟ้าครวญ
ห้วงคนึง
คิดถึงในใจ
ที่พึ่งของวิญญาณ
ตื่นมาคล้ายความรัก
สักพักรู้สึก ...
นึกถึงห้วงเวลาผ่าน
เจ็บแปล๊บ แต่สิ้นกัลปาฯ
มีคำถามเมื่อวาน ฉันเคยรักใคร
หรือใคร ที่ฉันเป็น
โปรดเรียกฉันว่าความ "เหงา"
อุ่น โอบ อิ่ม
สายตาเธอพริ้มข้างกาย
ข้างเตียงยังอุ่น กรุ่นไอกระหาย
ดวงดาวพร่างพราย ยามใกล้เธอ
ลูบ ละเลียด ละไล้
มองหน้าละไม ละเมียด
ปากประกบปาก บดเบียด
เติมรัก บนความเหียด แห้ง "แร้ง"
โอบความว่างเปล่า สาวอ้างว้างเข้าแนบกาย
เพ่งพิศ พินิจหมาย หงายร่างอรชร
เอวอ้อนแอ้น นั้นแฝงความทุกข์ในบทกลอน
เหนื่อยเจ็บ ดั่งโดนศร ไม่อาจลา
เธอสวยแต่ปราศจากตัวตน
เธอเหมือนจะเป็นคนแต่ไม่ใช่
ความเย็นชาแอบแฝนอยู่ด้านใน
แววตาใสของสาวที่ชาเย็น
ลืมตาขึ้นมา กอดตัวเองอยู่
รู้ทั้งรู้ ว่าเธออยู่ใกล้
หากแต่ตรงนั้น ข้าง ๆ ฉัน ไม่มีใคร
แต่ก็ไม่ใช่ ใจฉัน คิดไปเอง
เป็นห้วงความรู้สึกที่สัมผัส
การร่วมรัก ร่วมกอด สอดความเหงา
ด้วยมือแห่งความเจ็บปวด นวดเธอเบา ๆ
ที่ฉันอยู่ว่างเปล่าเพียงลำพัง
สวย แต่ทรมาน ทรมี
เจ็บปวดรวดร้าวทุกทีที่เธอใกล้
ฉันหลงรักความเหงา เข้าหมดใจ
จบชีวิตขอจากไป ขอหลับตา
หากความรัก ใช้กับสิ่งที่จับได้
สิ่งที่ฉันมี คงจะแค่ "คล้าย ๆ" ก็เท่านั้น
สิ่งที่ฉันมี คงจะแค่ "คล้าย ๆ" ก็เท่านั้น ...
สายตาเธอพริ้มข้างกาย
ข้างเตียงยังอุ่น กรุ่นไอกระหาย
ดวงดาวพร่างพราย ยามใกล้เธอ
ลูบ ละเลียด ละไล้
มองหน้าละไม ละเมียด
ปากประกบปาก บดเบียด
เติมรัก บนความเหียด แห้ง "แร้ง"
โอบความว่างเปล่า สาวอ้างว้างเข้าแนบกาย
เพ่งพิศ พินิจหมาย หงายร่างอรชร
เอวอ้อนแอ้น นั้นแฝงความทุกข์ในบทกลอน
เหนื่อยเจ็บ ดั่งโดนศร ไม่อาจลา
เธอสวยแต่ปราศจากตัวตน
เธอเหมือนจะเป็นคนแต่ไม่ใช่
ความเย็นชาแอบแฝนอยู่ด้านใน
แววตาใสของสาวที่ชาเย็น
ลืมตาขึ้นมา กอดตัวเองอยู่
รู้ทั้งรู้ ว่าเธออยู่ใกล้
หากแต่ตรงนั้น ข้าง ๆ ฉัน ไม่มีใคร
แต่ก็ไม่ใช่ ใจฉัน คิดไปเอง
เป็นห้วงความรู้สึกที่สัมผัส
การร่วมรัก ร่วมกอด สอดความเหงา
ด้วยมือแห่งความเจ็บปวด นวดเธอเบา ๆ
ที่ฉันอยู่ว่างเปล่าเพียงลำพัง
สวย แต่ทรมาน ทรมี
เจ็บปวดรวดร้าวทุกทีที่เธอใกล้
ฉันหลงรักความเหงา เข้าหมดใจ
จบชีวิตขอจากไป ขอหลับตา
หากความรัก ใช้กับสิ่งที่จับได้
สิ่งที่ฉันมี คงจะแค่ "คล้าย ๆ" ก็เท่านั้น
สิ่งที่ฉันมี คงจะแค่ "คล้าย ๆ" ก็เท่านั้น ...
เด็กชายผู้ไม่รู้จัก ...
เด็กชายผู้ไม่เคยเข้าใจความอ้างว้าง นั่งอยู่คนเดียว
เขาเอามือเขี่ยดิน
ชุดนักเรียนมอมแมม เปื้อนคราบ
เสียงบรรยากาศอื้ออึง เขาไม่สนใจ ไม่เหลียวตา
"เธอรู้มั้ยว่าเธอทำผิด" ครูสาวขานมา
"มานี่เดี๋ยวนี้" ครูสั่งพลางตะหวัดไม้เรียว
ผั่วะ ! ครูสาวชะงัก "วราวุฒิเธอมาขวางทำไม"
เด็กชายผู้เอานิ้วเขี่ยดินตอบไป
"ครูตีเพื่อนผมเท่าไหร่ ตีผมเท่ากัน"
ครูสาวย่อตัวลงกอดเด็กชายเอาไว้
เด็กชายไม่เข้าใจ อะไรคือความรัก
เด็กชายเดินไป ทุกสายตามองจ้อง
เอานิ้วเขี่ยดินเหมือนก่อน เอานิ้วเขี่ยดิน
หากเราไม่รู้จักความอ้างว้าง
จะอยู่รู้จักความอบอุ่นได้อย่างไร
เขาเอามือเขี่ยดิน
ชุดนักเรียนมอมแมม เปื้อนคราบ
เสียงบรรยากาศอื้ออึง เขาไม่สนใจ ไม่เหลียวตา
"เธอรู้มั้ยว่าเธอทำผิด" ครูสาวขานมา
"มานี่เดี๋ยวนี้" ครูสั่งพลางตะหวัดไม้เรียว
ผั่วะ ! ครูสาวชะงัก "วราวุฒิเธอมาขวางทำไม"
เด็กชายผู้เอานิ้วเขี่ยดินตอบไป
"ครูตีเพื่อนผมเท่าไหร่ ตีผมเท่ากัน"
ครูสาวย่อตัวลงกอดเด็กชายเอาไว้
เด็กชายไม่เข้าใจ อะไรคือความรัก
เด็กชายเดินไป ทุกสายตามองจ้อง
เอานิ้วเขี่ยดินเหมือนก่อน เอานิ้วเขี่ยดิน
หากเราไม่รู้จักความอ้างว้าง
จะอยู่รู้จักความอบอุ่นได้อย่างไร
สิ่งที่คล้ายคำว่ารัก
นี่แหละ ความรู้สึกของฉัน
ฉันคิดว่ามันคล้าย ๆ สุข และมันก็คล้ายอย่างกับว่าจะมีทุกข์
เป็นความสุขที่แยกทุกข์ออกไม่ได้
เป็นหัวใจที่รักเติมไม่เติม เป็นทะเลที่ปราศจากน้ำเค็ม
เป็นห้วงอารมณ์ที่ถูกเล็ม ถูกตัดตอน
บางครั้งมันคล้าย ๆ กับบทกลอน
บางครั้งมันคล้าย ๆ กับท่วงทำนอง
มันคล้าย ๆ มันคล้ายกับความเวิ้งว้างภายในห้อง
มันเหมือนสองรวมเป็นหนึ่งก็หาไม่
บางทีมันคงมีหน้าคล้าย ๆ เธอ
คล้ายภาพเบลอ ๆ ที่สดใส
แต่แล้วก็กลับจากหายไป
ทิ้งฉันเอาไว้ในตัวตน
ทิ้งฉันเองไว้ในบทเพลง
ทิ้งฉันเองไว้ ในสิ่งที่คล้าย ๆ รัก
ฉันคิดว่ามันคล้าย ๆ สุข และมันก็คล้ายอย่างกับว่าจะมีทุกข์
เป็นความสุขที่แยกทุกข์ออกไม่ได้
เป็นหัวใจที่รักเติมไม่เติม เป็นทะเลที่ปราศจากน้ำเค็ม
เป็นห้วงอารมณ์ที่ถูกเล็ม ถูกตัดตอน
บางครั้งมันคล้าย ๆ กับบทกลอน
บางครั้งมันคล้าย ๆ กับท่วงทำนอง
มันคล้าย ๆ มันคล้ายกับความเวิ้งว้างภายในห้อง
มันเหมือนสองรวมเป็นหนึ่งก็หาไม่
บางทีมันคงมีหน้าคล้าย ๆ เธอ
คล้ายภาพเบลอ ๆ ที่สดใส
แต่แล้วก็กลับจากหายไป
ทิ้งฉันเอาไว้ในตัวตน
ทิ้งฉันเองไว้ในบทเพลง
ทิ้งฉันเองไว้ ในสิ่งที่คล้าย ๆ รัก
วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
อารยะ นิยามคำว่ารัก
ฟากฟ้าใจดี โปรยฝนเม็ดใส ลงมา
พื้นดินชุ่มฉ่ำ สดชื่น กระปรี่กระเปร่า ขานรับ
ออกผล ออกลูก เป็นชีวิต สร้างอีกชีวิต สร้างอีกชีวิต
ฟากฟ้าใจดี โปรยฝนเม็ดใส ลงมา
พื้นปูนไม่สะท้าน ไม่ขยับ
ไร้ต้นไม้
มีเพียงต้นปูน ออกผล คือความเย็นชา และความแข็งกระด้าง
จากพื้นดินอุดม กลายเป็นสังคมเรืองอารยะ
สร้างเมืองอารยะ ธรรมชาติป่วย ... แต่ฟ้าร้องว่า "ไม่เป็นไร"
ยังใจดีเท่าเดิม ความรักของฉัน ซัดใจคนเบาๆ เหมือนคลื่นที่ริมฝั่งทะเล
สม่ำเสมอ ไม่สั่นคลอน ไม่จรจากไปไหน
ฉันอยู่คู่ จนเธอเข้าใจ ... ถ้าหากฉันยังไหว ...
เพราะฉันรักเธอเท่าเดิม รักเธอเท่าเดิม
"มนุษย์ผู้นิยามคำว่ารักด้วยอารยะ"
พื้นดินชุ่มฉ่ำ สดชื่น กระปรี่กระเปร่า ขานรับ
ออกผล ออกลูก เป็นชีวิต สร้างอีกชีวิต สร้างอีกชีวิต
ฟากฟ้าใจดี โปรยฝนเม็ดใส ลงมา
พื้นปูนไม่สะท้าน ไม่ขยับ
ไร้ต้นไม้
มีเพียงต้นปูน ออกผล คือความเย็นชา และความแข็งกระด้าง
จากพื้นดินอุดม กลายเป็นสังคมเรืองอารยะ
สร้างเมืองอารยะ ธรรมชาติป่วย ... แต่ฟ้าร้องว่า "ไม่เป็นไร"
ยังใจดีเท่าเดิม ความรักของฉัน ซัดใจคนเบาๆ เหมือนคลื่นที่ริมฝั่งทะเล
สม่ำเสมอ ไม่สั่นคลอน ไม่จรจากไปไหน
ฉันอยู่คู่ จนเธอเข้าใจ ... ถ้าหากฉันยังไหว ...
เพราะฉันรักเธอเท่าเดิม รักเธอเท่าเดิม
"มนุษย์ผู้นิยามคำว่ารักด้วยอารยะ"
แด่ ... วีรสตรี
กราบกราน แทบบาท วีระสตรี
สร้างวีระกรรม ดุจชายชาตรี เทียบเท่า
ถึงตัวเล็ก แต่ใจเหล็ก ตั้งมั่น อย่างขุนเขา
มีท่าน ถึงมีเรา ยืนเหยียบดิน
กราบท้าว ย่าโม สุรนารี
ถือดาบ เหล็กน้ำพี้ แข็งขัน
มือหนึ่ง ไกวเปล อีกหนึ่ง ต้องฝ่าฟัน
ยุทธภัณฑ์ สวมไว้ เท้าปักดิน
ลูกเอ๋ย หากแม่ นอนหลับตา
ขอจง รู้เถิดว่า แม่ไม่ ไปไหน
แม่จะอยู่ คู่ผืนดิน แต่นี้ไป
จงระลึก เอาไว้ ใน ปณิธาน
ถึงเดือนลับ ทรายทับ ถาโถม
แม่จะ โอ้ โอ้ โอม จนเจ้าหลับตา
แม่จะร้อง โอละเห่ เจ้าทุกครา
แม้ชีวา ตัวแม่ ต้องดับลง
โอละเห่ โอละเห่ บทแม่กลอม
ลูบกระหม่อม ลูบขวัญ ให้แม่หอม
ตรงแก้มเจ้า แก้มพสุธา แก้มฝั่งคลอง
ตรงแก้มเจ้า แก้มพสุธา แก้มฝั่งคลอง
แม่เฝ้ามอง จากพื้นดิน สิ้นกัลปา ...
สร้างวีระกรรม ดุจชายชาตรี เทียบเท่า
ถึงตัวเล็ก แต่ใจเหล็ก ตั้งมั่น อย่างขุนเขา
มีท่าน ถึงมีเรา ยืนเหยียบดิน
กราบท้าว ย่าโม สุรนารี
ถือดาบ เหล็กน้ำพี้ แข็งขัน
มือหนึ่ง ไกวเปล อีกหนึ่ง ต้องฝ่าฟัน
ยุทธภัณฑ์ สวมไว้ เท้าปักดิน
ลูกเอ๋ย หากแม่ นอนหลับตา
ขอจง รู้เถิดว่า แม่ไม่ ไปไหน
แม่จะอยู่ คู่ผืนดิน แต่นี้ไป
จงระลึก เอาไว้ ใน ปณิธาน
ถึงเดือนลับ ทรายทับ ถาโถม
แม่จะ โอ้ โอ้ โอม จนเจ้าหลับตา
แม่จะร้อง โอละเห่ เจ้าทุกครา
แม้ชีวา ตัวแม่ ต้องดับลง
โอละเห่ โอละเห่ บทแม่กลอม
ลูบกระหม่อม ลูบขวัญ ให้แม่หอม
ตรงแก้มเจ้า แก้มพสุธา แก้มฝั่งคลอง
ตรงแก้มเจ้า แก้มพสุธา แก้มฝั่งคลอง
แม่เฝ้ามอง จากพื้นดิน สิ้นกัลปา ...
รัก ในละอองความสับสน
บางคนรักเพราะเงินทอง
มีคนรักเพราะความดีของบุคคล
แต่น้อยที่จะรักคนดียามอ่อนแอ
รู้สึกเหมือนว่าหากคนดีอ่อนแอเมื่อไหร่ จะมีคนคอยเสื่อมซึ่งศรัทราเต็มไปหมด
เสื่อมศรัทธาง่ายไปหรือเปล่า เลิกรักงายไปมั้ย
ความมั่นคงในใจมันอยู่ตรงไหน
นึกถึงตอนเป็นเด็กแม่บอกไว้ "ลูกน่ารักเสมอ"
ตอนลูกเป็นผู้ใหญ่ แม่ยังคงพร่ำบอกสิ่งเดียวกัน
นี่ต่างหาก "รัก"
มีคนรักเพราะความดีของบุคคล
แต่น้อยที่จะรักคนดียามอ่อนแอ
รู้สึกเหมือนว่าหากคนดีอ่อนแอเมื่อไหร่ จะมีคนคอยเสื่อมซึ่งศรัทราเต็มไปหมด
เสื่อมศรัทธาง่ายไปหรือเปล่า เลิกรักงายไปมั้ย
ความมั่นคงในใจมันอยู่ตรงไหน
นึกถึงตอนเป็นเด็กแม่บอกไว้ "ลูกน่ารักเสมอ"
ตอนลูกเป็นผู้ใหญ่ แม่ยังคงพร่ำบอกสิ่งเดียวกัน
นี่ต่างหาก "รัก"
เอรี่ บานาน่า บทนำ
เข็มเรียวเล็กของนาฬิกา กระดิกร่างผอมบางของมันไปรอบ ๆ เรือนกลมสีเทาเกือบดำ เสียงติ๊กติ๊ก อาจจะไม่ดังจนถึงขั้นสนั่น แต่สำหรับฉัน มันก็เพียงพอแล้ว ที่จะย้ำเตือน ฉันถึงอะไรบางอย่าง
บางอย่างที่สั่นไหวอยู่ภายใน ...
มันมักจะเดินไปข้างหน้าเสมอ เหมือนสายน้ำที่ไม่มีวันไหลย้อนกลับ ทุกครั้งที่มันขยับไปข้างหน้า มันจะผ่านตัวเลขที่เรียงกันไปเรื่อย ๆ จากตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่ง
ซึ่งหากตัวเลขทุกตัวที่มันจะต้องเดินผ่านไปนั้น กลายเป็นตัวเลขตัวเดียวกันทั้งเรือนแล้ว สายน้ำที่ไม่ไหลย้อนกลับสายนี้ ก็คงจะไหลวนอยู่กับที่ หยุดนิ่งไม่ไปไหน อยู่บนหน้าปัดสีขาวของนาฬิการเรือนนี้อย่างแน่นอน
ไม่ต่างจากชีวิตของฉัน ที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา คำถามก็คือ ถ้าหากวันเวลาจะต้องหยุดลงอยู่กับที่แล้ว ใครกันล่ะ ... ที่จะอยู่ด้วยกันกับฉัน เพื่อเฝ้ามองมันหยุดอยู่ตรงหน้า ใครกัน !! ที่จะทำสิ่งเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ไปด้วยกันกับฉัน
สำหรับฉัน ในตอนนี้แล้ว ยังไม่มีคำตอบ แม้ฉันคิดว่า ฉันรู้แล้วก็ตาม เพราะคำตอบของฉันมันก็คือ 'ไม่มีใคร' ซึ่งมันเท่ากับว่าฉันปราศจากโดยสิ้นเชิง และแน่นอน มันย่อมตรงกันข้ามกับคำว่ามี มันแปลว่าชีวิตของฉันต้องอยู่โดยลำพัง ว่างเปล่า และนี่ !! คือสิ่งที่มันซ้ำๆ วนไปวนมาอยู่บนเรือนนาฬิกาชีวิตของฉัน ...
บางอย่างที่สั่นไหวอยู่ภายใน ...
มันมักจะเดินไปข้างหน้าเสมอ เหมือนสายน้ำที่ไม่มีวันไหลย้อนกลับ ทุกครั้งที่มันขยับไปข้างหน้า มันจะผ่านตัวเลขที่เรียงกันไปเรื่อย ๆ จากตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่ง
ซึ่งหากตัวเลขทุกตัวที่มันจะต้องเดินผ่านไปนั้น กลายเป็นตัวเลขตัวเดียวกันทั้งเรือนแล้ว สายน้ำที่ไม่ไหลย้อนกลับสายนี้ ก็คงจะไหลวนอยู่กับที่ หยุดนิ่งไม่ไปไหน อยู่บนหน้าปัดสีขาวของนาฬิการเรือนนี้อย่างแน่นอน
ไม่ต่างจากชีวิตของฉัน ที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา คำถามก็คือ ถ้าหากวันเวลาจะต้องหยุดลงอยู่กับที่แล้ว ใครกันล่ะ ... ที่จะอยู่ด้วยกันกับฉัน เพื่อเฝ้ามองมันหยุดอยู่ตรงหน้า ใครกัน !! ที่จะทำสิ่งเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ไปด้วยกันกับฉัน
สำหรับฉัน ในตอนนี้แล้ว ยังไม่มีคำตอบ แม้ฉันคิดว่า ฉันรู้แล้วก็ตาม เพราะคำตอบของฉันมันก็คือ 'ไม่มีใคร' ซึ่งมันเท่ากับว่าฉันปราศจากโดยสิ้นเชิง และแน่นอน มันย่อมตรงกันข้ามกับคำว่ามี มันแปลว่าชีวิตของฉันต้องอยู่โดยลำพัง ว่างเปล่า และนี่ !! คือสิ่งที่มันซ้ำๆ วนไปวนมาอยู่บนเรือนนาฬิกาชีวิตของฉัน ...
วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ลายนิ้วมือบนขวดแก้ว
"แกร้ง แกร้ง แก้รง แกร้ง"
ขวดน้ำอัดลมถูกยกขึ้นด้วยมือหยาบ ๆ ของชายฉกรรจ์ เขายกมันขึ้นทีละสี่ขวดด้วยมือทั้งสองอย่างกระฉับกระเฉง
สองขวดเปล่าถูกเอาออกจากลัง สองขวดใหม่ถูกใส่ลงไปแทน เขาแทบไม่ได้มองลัง ใช้เพียงนิ้วสัมผัสก็เพียงพอแล้ว ความแข็งขันและกำลังในวัยหนุ่มของเขาเป็นที่ชินตาของชายวัยกลางคนที่ยืนตรงข้าม
"ทั้งหมดเท่าไหร่" เจ้าของร้านขายของชำถาม
"สามพันสามร้อยห้าสิบสามบาท" เขาตอบ
แกร้ง แกร้ง ... เขาเรียงเสร็จพอดี
มือหยาบถูกยื่นออกมาข้างหน้า มันแผ่หลาออกตรงหน้าเจ้าของร้านขายของชำ ลายนิ้วมือของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบไคล
เจ้าของร้านยื่นเงินให้ชายหนุ่ม พลางคิดในใจ
"ถ้าวันนี้นิ้วมือสักนิ้วของเขาจะต้องขาดไปล่ะ เขาจะใช้ชีวิตที่เหลือยังไง"
ขวดน้ำอัดลมถูกยกขึ้นด้วยมือหยาบ ๆ ของชายฉกรรจ์ เขายกมันขึ้นทีละสี่ขวดด้วยมือทั้งสองอย่างกระฉับกระเฉง
สองขวดเปล่าถูกเอาออกจากลัง สองขวดใหม่ถูกใส่ลงไปแทน เขาแทบไม่ได้มองลัง ใช้เพียงนิ้วสัมผัสก็เพียงพอแล้ว ความแข็งขันและกำลังในวัยหนุ่มของเขาเป็นที่ชินตาของชายวัยกลางคนที่ยืนตรงข้าม
"ทั้งหมดเท่าไหร่" เจ้าของร้านขายของชำถาม
"สามพันสามร้อยห้าสิบสามบาท" เขาตอบ
แกร้ง แกร้ง ... เขาเรียงเสร็จพอดี
มือหยาบถูกยื่นออกมาข้างหน้า มันแผ่หลาออกตรงหน้าเจ้าของร้านขายของชำ ลายนิ้วมือของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบไคล
เจ้าของร้านยื่นเงินให้ชายหนุ่ม พลางคิดในใจ
"ถ้าวันนี้นิ้วมือสักนิ้วของเขาจะต้องขาดไปล่ะ เขาจะใช้ชีวิตที่เหลือยังไง"
ไม่มีท่วงทำนองในกระบอกแคน
เสียงร้องทุ้มต่ำสลับสูงดังผ่านตัวฉันไป มันลอยขึ้นไปปะปนกับมวลอากาศเย็นของยามค่ำคืน
เขาเป็นคนที่เป่าฉันมาตลอด จากผิวใสของวัยหนุ่มตอนนี้มันเดินทางมาจนถึงผิวเหี่ยวที่หยาบกร้านของวัยชรา
"เก๊ง ป๋อง แป๋ง ป๋อง แป๋ง"
แสงสว่างวาบของโลหะล่องลอยขึ้นมาจากถ้วยพลาสติก มันเปลี่ยนสีหน้าของเขาให้ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ร้อยยิ้มเล็ก ๆ ถูกวาดขึ้นมาบนใบหน้า
ฉันพยายามช่วยเขา เร่งเสียงตัวเองขึ้นอย่างสุดแรง แต่ ...
ฉันเร่งขึ้นอีก จนกระบอกไม้ไผ่สั่นไหว แต่ ...
ความพยายามฉันอ้อยอิ่งค้างเต่ออยู่ที่เดิม
"ไม่มีท่วงทำนองในตัวฉันเลย มันอยู่ที่ใดกันเล่า"
เขาเป็นคนที่เป่าฉันมาตลอด จากผิวใสของวัยหนุ่มตอนนี้มันเดินทางมาจนถึงผิวเหี่ยวที่หยาบกร้านของวัยชรา
"เก๊ง ป๋อง แป๋ง ป๋อง แป๋ง"
แสงสว่างวาบของโลหะล่องลอยขึ้นมาจากถ้วยพลาสติก มันเปลี่ยนสีหน้าของเขาให้ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ร้อยยิ้มเล็ก ๆ ถูกวาดขึ้นมาบนใบหน้า
ฉันพยายามช่วยเขา เร่งเสียงตัวเองขึ้นอย่างสุดแรง แต่ ...
ฉันเร่งขึ้นอีก จนกระบอกไม้ไผ่สั่นไหว แต่ ...
ความพยายามฉันอ้อยอิ่งค้างเต่ออยู่ที่เดิม
"ไม่มีท่วงทำนองในตัวฉันเลย มันอยู่ที่ใดกันเล่า"
เร่าร้อน
ผมเฝ้ามองเข็มบาง ๆ ของนาฬิกาที่กระดิกไปข้างหน้า ผนังห้องสีเขียวขี้ม้ากับเรือนดำของมันไม่มีอะไรโดดเด่น บนเตียงไม้หลังนี้มีเพียงผมที่นอนทอดกายให้เปลือยเปล่าอยู่อย่างลำพัง ผมเดียวดายมานานนมเพราะเมียรักได้จากผมไป
เธอเก็บกระเป๋าหอบสมบัติและลูกทั้งสองไปด้วย ผมเองได้แต่เฝ้าภาวนาขอให้ในยามนี้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น โหยหาเหลือเกินที่มันจะแว่วมาสักชั่วเวลาหนึ่งลมหายใจ เพื่อผมจะได้ไม่ต้องเสพสมกับร่างกายตัวเอง หากแต่เป็นเธอที่อยู่ตรงนั้น
"ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก"
ผมเหลียวขวับไปที่ประตู หัวใจมันสั่นระรัว สะท้านไปด้วยความงุนงง ไม่รู้จะดีใจหรือสงสัยดี เสียงเคาะประตูดังก้องขึ้นมาแต่งละจังหวะ เหมือนมันจะพรากเอาชีวิตของผมไป ตัวของผมเร่าร้อนไปหมดแล้ว เร่าร้อนไปหมดแล้ว ...
"เข้ามาาาาา" ผมเอ่ยด้วยเสียงทั้งหมดที่มีอย่างไม่ทันควบคุม
รองเท้าส้นสูงสีแดงก้าวเข้ามาอย่างช้า ๆ ดุจดั่งราชินี ผมไม่แคร์อีกต่อไปแล้วว่าเธอจะเป็นเมียผมหรือไม่ ผิวขาวนวลของเธออิ่มเอิบขึ้นท่ามกลางไฟสีไข่ไก่จากหลอดเขี้ยวกลางบ้าน มันสาดแสงละมุนลงมาอย่างเอื่อย ๆ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมเห็นอะไรต่อมิอะไรได้อย่างชัดเจน
ชุดชั้นในตัวจิ๋วพาดอยู่อย่างหลวม ๆ บนเรือนร่างของเธอ ภาพและกลิ่นกายของเธอชัดขึ้นจนเธอมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผม ไม้เสียเวลาพิรี้พิไรอีกแล้วผมเหยียดมีของผมออกไปเพื่อที่จะขยำปทุุมถันของเธอ และผมทำมันสำเร็จ
เธอยื่นหน้าของเธอมาใกล้ ๆ เพื่อประทับลมหายใจของเธอลงบนซอกคอของผมดุจตีตรา ผมคงเป็นทาสรักของเธอไปชั่วนิรันดร์ ไม่ทันปล่อยให้เคลิ้มดีนักเธอก็กดร่างอรชรของเธอลงมาแนบร่างเปลือยเปล่าของผม หัวใจของผมยังคงสั่นสะท้าน
เวลาอ้อยอิ่งอย่างยาวนานแต่เข็มนาฬิกายังอยู่ที่เดิม น่าแปลกใจเธอเป็นใครจึงหยุดเวลาได้ แต่ช่างเหอะผมขอใช้เวลาที่เหลือซอกซอนอยู่ในผิวกายของเธอ ขอเพียงได้อาศัยอยู่บนยอมเรือนอกของเธอ ขออิ่มเอมอยู่ในเรือนร่างอวมอิ่ม ขอตายอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ
หัวใจเต้นถี่ขึ้น เข็มนาฬิกาสั่นไหว แต่ไม่กระดิก หัวใจของเขาเต้นถี่ขึ้นอีก เธอยังคงโอบรัดเขาไว้ด้วยกลิ่นสวาทของเธอ หัวใจเต้นถี่ ถี่ ถี่ ถี่ เขาล่องลอยไปบนท้องฟ้ากล้าง บัดนี้มีเพียงเธอกับเขา
"ตึก ตึก ตึก ตึก"
แววตาของชายชราล่องลอยเคว้งคว้าง ร้างของเข้าหงายขึ้น และงอตัวในท่าสะพานโค้ง เข็มของนาฬิกายังคงเดินไปข้างหน้า แน่ล่ะที่ในห้องนี้มันไม่มีใครนอกจากเขา เขาเท่านั้น
มือของเขากำเจ้าโลกไว้แน่น ชีวิตและตัวตนของเขาจากไปพร้อมกับความฝัน "หญิงสาวคนนั้นเป็นนางฟ้า หรือซาตานจำแลงมากันแน่"
เธอเก็บกระเป๋าหอบสมบัติและลูกทั้งสองไปด้วย ผมเองได้แต่เฝ้าภาวนาขอให้ในยามนี้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น โหยหาเหลือเกินที่มันจะแว่วมาสักชั่วเวลาหนึ่งลมหายใจ เพื่อผมจะได้ไม่ต้องเสพสมกับร่างกายตัวเอง หากแต่เป็นเธอที่อยู่ตรงนั้น
"ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก"
ผมเหลียวขวับไปที่ประตู หัวใจมันสั่นระรัว สะท้านไปด้วยความงุนงง ไม่รู้จะดีใจหรือสงสัยดี เสียงเคาะประตูดังก้องขึ้นมาแต่งละจังหวะ เหมือนมันจะพรากเอาชีวิตของผมไป ตัวของผมเร่าร้อนไปหมดแล้ว เร่าร้อนไปหมดแล้ว ...
"เข้ามาาาาา" ผมเอ่ยด้วยเสียงทั้งหมดที่มีอย่างไม่ทันควบคุม
รองเท้าส้นสูงสีแดงก้าวเข้ามาอย่างช้า ๆ ดุจดั่งราชินี ผมไม่แคร์อีกต่อไปแล้วว่าเธอจะเป็นเมียผมหรือไม่ ผิวขาวนวลของเธออิ่มเอิบขึ้นท่ามกลางไฟสีไข่ไก่จากหลอดเขี้ยวกลางบ้าน มันสาดแสงละมุนลงมาอย่างเอื่อย ๆ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมเห็นอะไรต่อมิอะไรได้อย่างชัดเจน
ชุดชั้นในตัวจิ๋วพาดอยู่อย่างหลวม ๆ บนเรือนร่างของเธอ ภาพและกลิ่นกายของเธอชัดขึ้นจนเธอมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผม ไม้เสียเวลาพิรี้พิไรอีกแล้วผมเหยียดมีของผมออกไปเพื่อที่จะขยำปทุุมถันของเธอ และผมทำมันสำเร็จ
เธอยื่นหน้าของเธอมาใกล้ ๆ เพื่อประทับลมหายใจของเธอลงบนซอกคอของผมดุจตีตรา ผมคงเป็นทาสรักของเธอไปชั่วนิรันดร์ ไม่ทันปล่อยให้เคลิ้มดีนักเธอก็กดร่างอรชรของเธอลงมาแนบร่างเปลือยเปล่าของผม หัวใจของผมยังคงสั่นสะท้าน
เวลาอ้อยอิ่งอย่างยาวนานแต่เข็มนาฬิกายังอยู่ที่เดิม น่าแปลกใจเธอเป็นใครจึงหยุดเวลาได้ แต่ช่างเหอะผมขอใช้เวลาที่เหลือซอกซอนอยู่ในผิวกายของเธอ ขอเพียงได้อาศัยอยู่บนยอมเรือนอกของเธอ ขออิ่มเอมอยู่ในเรือนร่างอวมอิ่ม ขอตายอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ
หัวใจเต้นถี่ขึ้น เข็มนาฬิกาสั่นไหว แต่ไม่กระดิก หัวใจของเขาเต้นถี่ขึ้นอีก เธอยังคงโอบรัดเขาไว้ด้วยกลิ่นสวาทของเธอ หัวใจเต้นถี่ ถี่ ถี่ ถี่ เขาล่องลอยไปบนท้องฟ้ากล้าง บัดนี้มีเพียงเธอกับเขา
"ตึก ตึก ตึก ตึก"
แววตาของชายชราล่องลอยเคว้งคว้าง ร้างของเข้าหงายขึ้น และงอตัวในท่าสะพานโค้ง เข็มของนาฬิกายังคงเดินไปข้างหน้า แน่ล่ะที่ในห้องนี้มันไม่มีใครนอกจากเขา เขาเท่านั้น
มือของเขากำเจ้าโลกไว้แน่น ชีวิตและตัวตนของเขาจากไปพร้อมกับความฝัน "หญิงสาวคนนั้นเป็นนางฟ้า หรือซาตานจำแลงมากันแน่"
ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ใบไม้กระดิก
ร่มเงาของต้นไม้ปกคลุมสวนกว้างแห่งนี้ ท้องฟ้าสีฟ้าเบื้องบนก็เช่นกัน มันพอใจสาดแสงอ่อนลงบนกลีบเมฆ แสงสีทองส่องระยับล่องลอยไปทั่ว
เขาประพรมลมหายใจลงบนต้นคอของเธอ สาวงามสะคราญโฉม อกอูมขาวนวลแนบสนิทกับแผ่นอกกำยำของชายวัยฉกรรจ์ มันบทเบียดไปมาคล้ายท่วงทำนองเพลงรัก ร่างของพวกเขาแหวกว่ายอยู่ในกันและกันดุจพญามัจฉา
"ผมอยากอาศัยอยู่ในเงาของแววตาคุณ ผมอยากซุกมือของผมตรงนี้ อยากวางเอาไว้เนิ่นนาน" ชายหนุ่มเค้นคลึงมือใหญ่หนาลงไปบนสองปทุมถัน แรงพิสวาศนั้นเกินจะข่มไหว เธอหายใจเบารดต้นคอของเขาดุจคำเชื้อเชิญ
"โหยหาเหลือเกินที่จะสูดกลิ่นลมหายใจของคุณ แพรทิมาจันทร์" เมคินทร์ออดอ้อนท่ามกลางกลิ่นหอมระเรื้อของหญิงสาว
รอยยิ้มอันแสนเยือกเย็นกับลมหายใจยาว ๆ ของแพรทิมาจันทร์ช่างชวนฝันอย่างประหลาด วิทย์บดเบียดริมฝีปากของเขาเข้ากับริมฝีปากแดงอวบอิ่มของเธอ กาลเวลาทอดตัวออกเข้าใกล้ความเป็นนิรันดร์
เสียงลมหายไปเธอเริ่มทิ้งตัวถี่ขึ้น ... ถี่ขึ้น ... ถี่ขึ้น ... ถี่ขึ้น ....
แพรทิมาจันทร์โอบรัดชายหนุ่มสุดแรง ทว่าในแววตาของเธอยังคงว่างเปล่า ชายหนุ่มยังคงถาโถมความพิศวาสทั้งหมดของเขาเข้าใส่ช่องว่างตรงกลางระหว่างขาขาวนวลของเธออย่างสุดความกำยำ แต่มีเพียงเสียงลมหายใจของแพรทิมาจันทร์เท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนกับเขา และตอนนี้มันช้าลงกว่าที่เคย
"พอได้แล้ว เธอกลับไปได้แล้ว" แพรทิมาจันทร์ระบายเสียงหวานอารมณ์ออกมา มันราบเรียบราวกับกระจก
ชายหนุ่มประคองตัวของเขาให้ลุกขึ้น สองขายังคนสั่นไหว ไปด้วยความเจ็บปวด มันเจ็บอย่างซ่อนเร้นในผิวกายของเขา ยังคงแอบแฝงในกระดูกทุกข้อต่อ เพียงแต่ในยามนี้มันยังไม่แสดงออกมากนักเพราะสายได้ของแพรทิมาจันทร์ที่จับจ้องอยู่บนร่างเปลือยเปล่าของเขา
ในใจของชายหนุ่มเต้นระรัว มันสะท้านไปด้วยความอัดอั้น ที่พูดออกมาไม่ได้ มันแยกความทรมานกับความสุขสมในราคะไม่ออกเลยด้วยซ้ำ เขาก้าวเท้าออกไปบนพื้นดินอย่างไร้จุดหมาย เงาเลือนลางของร่างเปลือยเปล่าทอดตัวไปบนต้นไม้ ก้าวและก้าวเล่าถูกย่างออกไปอย่างชา ๆ เขาหมดกำลังแม้แต่จะหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ ภูผาแห่งความเย็นชาตั้งตระหง่านอยู่เบื่องหลัง
เขาคือชายวันฉกรรจ์ที่ไม่เคยหวาดหวั่นกับอะไร แต่เขายอมพ่ายแพ้ต่อต่อการปีนเขาลูกนี้ เหตุผลเดียวคือภูเขาลูกนี้ชื่อ "แพรทิมาจันทร์"
เขาประพรมลมหายใจลงบนต้นคอของเธอ สาวงามสะคราญโฉม อกอูมขาวนวลแนบสนิทกับแผ่นอกกำยำของชายวัยฉกรรจ์ มันบทเบียดไปมาคล้ายท่วงทำนองเพลงรัก ร่างของพวกเขาแหวกว่ายอยู่ในกันและกันดุจพญามัจฉา
"ผมอยากอาศัยอยู่ในเงาของแววตาคุณ ผมอยากซุกมือของผมตรงนี้ อยากวางเอาไว้เนิ่นนาน" ชายหนุ่มเค้นคลึงมือใหญ่หนาลงไปบนสองปทุมถัน แรงพิสวาศนั้นเกินจะข่มไหว เธอหายใจเบารดต้นคอของเขาดุจคำเชื้อเชิญ
"โหยหาเหลือเกินที่จะสูดกลิ่นลมหายใจของคุณ แพรทิมาจันทร์" เมคินทร์ออดอ้อนท่ามกลางกลิ่นหอมระเรื้อของหญิงสาว
รอยยิ้มอันแสนเยือกเย็นกับลมหายใจยาว ๆ ของแพรทิมาจันทร์ช่างชวนฝันอย่างประหลาด วิทย์บดเบียดริมฝีปากของเขาเข้ากับริมฝีปากแดงอวบอิ่มของเธอ กาลเวลาทอดตัวออกเข้าใกล้ความเป็นนิรันดร์
เสียงลมหายไปเธอเริ่มทิ้งตัวถี่ขึ้น ... ถี่ขึ้น ... ถี่ขึ้น ... ถี่ขึ้น ....
แพรทิมาจันทร์โอบรัดชายหนุ่มสุดแรง ทว่าในแววตาของเธอยังคงว่างเปล่า ชายหนุ่มยังคงถาโถมความพิศวาสทั้งหมดของเขาเข้าใส่ช่องว่างตรงกลางระหว่างขาขาวนวลของเธออย่างสุดความกำยำ แต่มีเพียงเสียงลมหายใจของแพรทิมาจันทร์เท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนกับเขา และตอนนี้มันช้าลงกว่าที่เคย
"พอได้แล้ว เธอกลับไปได้แล้ว" แพรทิมาจันทร์ระบายเสียงหวานอารมณ์ออกมา มันราบเรียบราวกับกระจก
ชายหนุ่มประคองตัวของเขาให้ลุกขึ้น สองขายังคนสั่นไหว ไปด้วยความเจ็บปวด มันเจ็บอย่างซ่อนเร้นในผิวกายของเขา ยังคงแอบแฝงในกระดูกทุกข้อต่อ เพียงแต่ในยามนี้มันยังไม่แสดงออกมากนักเพราะสายได้ของแพรทิมาจันทร์ที่จับจ้องอยู่บนร่างเปลือยเปล่าของเขา
ในใจของชายหนุ่มเต้นระรัว มันสะท้านไปด้วยความอัดอั้น ที่พูดออกมาไม่ได้ มันแยกความทรมานกับความสุขสมในราคะไม่ออกเลยด้วยซ้ำ เขาก้าวเท้าออกไปบนพื้นดินอย่างไร้จุดหมาย เงาเลือนลางของร่างเปลือยเปล่าทอดตัวไปบนต้นไม้ ก้าวและก้าวเล่าถูกย่างออกไปอย่างชา ๆ เขาหมดกำลังแม้แต่จะหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ ภูผาแห่งความเย็นชาตั้งตระหง่านอยู่เบื่องหลัง
เขาคือชายวันฉกรรจ์ที่ไม่เคยหวาดหวั่นกับอะไร แต่เขายอมพ่ายแพ้ต่อต่อการปีนเขาลูกนี้ เหตุผลเดียวคือภูเขาลูกนี้ชื่อ "แพรทิมาจันทร์"
ใจที่ประนม
ท้องฟ้าในวันนี้ขมุกขมัวดูไม่สู้จะสดชื่นเท่าไหร่นัก ขณะที่ฉันยืนอยู่ริมระเบียง มันเป็นระเบียงแคบที่ถูกปูไว้ด้วยกระเบื้องสีเทา ไม่ได้กว้างใหญ่ไพศาลอะไร พื้นที่ของมันแค่คนยืนสองคนก็เต็มแล้ว
ข้าวหอมมันปูในหม้อหุงข้าวใบน้อยเริ่มส่งกลิ่นหอมขึ้นมาราวกับเป็นสัญญาณเตือนว่าอีกไม่กี่อึกฉันใจจะได้มีเวลาในมื้ออาหารที่ทำจากฝีมือของตัวเองสักที หลังจากที่สู้อุตสาห์ทำด้วยใจพากเพียรพยายามมาแรมชั่วโมง
ตะหวิวในมือของฉันตะหวัดตัวเองไปมาอย่างพิถีพิถัน ก่อนที่หมูกับหอมหัวใหญ่จะค่อย ๆ เรียงตัวเองลงบนจานสีน้ำเงิน สีแดงของมันตัดกับสีของจานจนฉันต้องเปลี่ยนจานใหม่ หาไม่คงจะตักผิดตักถูกก็เป็นได้ หลังจากที่ตักกับข้าวเสร็จไม่นานฉันก็ตักข้าวหอมมันปูที่บรรจงหุ้งไว้ขึ้นมาใส่จาน
ฉันนั่งลงบนพื้นกระเบื้องด้านๆ ท่ามกลางแสงของดวงตะวันที่ส่องลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาอย่างสลัว ก่อนที่จะซึมซับเอาความหอมของกับข้าวที่อยู่ในจานสองใบตรงหน้า
ตอนฉันเป็นเด็กฉันเคยนั่งพนมมือเพื่อขอบคุณอาหารที่อยู่ตรงหน้า จำได้ว่าครูจะนำเราท่องกลอน "ข้าวทุกจาน อาหารทุก อย่าง อย่ากินทิ้งขว้างเป็นของมีค่า ..." ทุกครั้งในทุกมื้อที่เราจะกิน ซึ่งฉันเองก็ทำเพื่อให้ได้กินเร็ว ๆ ไม่เคยมีสักครั้งที่จะเข้าใจ ไม่เคยมีสักครั้งที่คำกลอนมันจะเข้าไปในห้วงแห่งความสำนึก หากแต่การได้ไปสัมผัสชีวิตชาวนา การได้เห็นลูกของชาวนาในยุคข้าวยากหมากแพงมันได้ย้ำคำกลอนนี้ให้ตื่นขึ้นมามีชีวิตในใจของฉันอีกครั้ง
เสื้อผ้าที่ฉันใส่จนคิดว่าใส่ไม่ได้แล้วยังมีสภาพที่ดีกว่าเสื้อนักเรียนของลูกชาวนาอย่างชนิดที่เรียกว่า "ฟ้ากับเหว" เด็ก ๆ มีเพียงข้าวไร้กับที่อยู่ในปิ่นโต บางคนต้องเอาก้อนหินมาจุ่มน้ำปลาเพื่อใช้ทานกับข้าว มีคนบอกฉันว่าคนจำนวนนี้มีเพียงน้อยนิด จริง ๆ แล้วคนส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้มาก แต่สำหรับฉัน "คนเดียวฉันก็ไม่อยากให้มี"
"คนกลุ่มน้อยอะไร แบ่งเป็นกลุ่มไปทำไม เขาทำนาเลี้ยงเราดีกว่าที่เขาเลี้ยงลูกเขาเองซะอีก แค่นี้มันไม่พอที่จะนับเขาเป็นพ่อเป็นแม่เป็นญาติของเราหรือ ต้องให้เขาสละอะไรอีกสักเท่าไร แท้จริงเราไม่ได้เป็นประเทศ แต่เราเป็นร่างกายเดียวกัน เส้นเขตแดนของจังหวัดไม่สามารถแบ่งแยกเราออกจากกันได้หรอก"
ฉันประนมมือขึ้นพลางขอบคุณท้องฟ้า สายฝน และต้นข้าว ขอบคุณใครคนนั้นที่ยังคงอดทนหว่าน "เมล็ดแห่งชีวิต" ลงไปบนผืนดินที่แตกระแหงและรกร้างว่างเปล่า จนมันกลายเป็น "ผืนนาแห่งชีวิต" ที่ทอดตัวยาวไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา ที่เขาเหล่านั้นไม่ยอมท้อแท้ในใจเดินก้าวข้ามผ่านมรสุมของเศรษฐกิจอย่างอุสาหะตลอดมา จนกระทั่งส่วนหนึ่งของเมล็ดเหล่านั้นได้มาอยู่ในหม้อหุงข้าวของฉัน และกลายมาเป็น "กำลัง" เป็นพลังงานคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในจาน
ก่อนจะทานข้าว ฉันในวันนี้ก็ตระหนักรู้ขึ้นมาอีกประการหนึ่งว่า "ใจของฉันที่ประนมออกไปต่อหน้าข้าวมันปูในจานกระเบื้องสีครีมนั้นขัดเกลาให้ฉันเป็นคนที่อ่อนโยนละมุนละไมเพียงไร"
ในสังคมเมืองที่ฉันดำเนินชีวิตอยู่นั้นฉันคุ้นเคยกับการประนมมือไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ แต่เป็นการไหว้ที่ใจไม่ได้ประนมด้วยความซาบซึ้ง หรือในความศรัทราเลยแม้แต่น้อย มันเป็นการไหว้เพียงไม่ให้ใครตราฉันว่าเป็นคนไม่รู้จักสัมมาคารวะ
หากแต่ข้าวในจานได้สอนฉันถึงการไหว้ในความหมายใหม่ที่ต่างออกไปจากเดิม "นั่นคือการจรดใจของเราลงนบนอบต่อสิ่งที่เราจรดนิ้วทั้งสิบของเราก้มกราบ" เป็นการสำนึกอยู่ว่าเราไม่ได้เก่งหรือดีพร้อม หรือแน่จริงเหมือนอย่างที่เราคิด แต่ยังคงต้องพึ่งพาธรรมชาติ ยังคงต้องพึ่งพาผืนนาที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ไปชั่วชีวิตของเรา พร้อมกันนั้นก็เป็นการขอคมาที่เราได้ล่วงเกิน หรือกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งได้ออกไปด้วยใจไร้เดียงสา หรือขาดความยั้งคิดในวัยฉกรรจ์ของเรา
ถ้าการประนมใจไหว้ในนิยามนี้เกิดขึ้นและพึงมีในสังคมเมือง สังคมใหม่คือ "สังคมทางใจ" นี้คงจะถูกสร้างขึ้นอย่างยั่งยืนถาวรเป็นแน่ คงเป็นสังคมแท้ที่เราหวังพึ่งพาในยามยากเช่นนี้
ฉันบรรจงตักข้าวด้วยช้อนเก่าๆ เข้าปากของฉัน อณูน้ำแห่งความตื้นตันครอเอื่ออยู่ที่สองเบ้าตา ก่อนจะไหล่ลงถึงแก้มสองข้างของฉัน "ขอใช้สิบนิ้วประนมนบนอบต่อผืนนาแห่งชีวิตผืนนี้ไปจนวันตาย"
ข้าวหอมมันปูในหม้อหุงข้าวใบน้อยเริ่มส่งกลิ่นหอมขึ้นมาราวกับเป็นสัญญาณเตือนว่าอีกไม่กี่อึกฉันใจจะได้มีเวลาในมื้ออาหารที่ทำจากฝีมือของตัวเองสักที หลังจากที่สู้อุตสาห์ทำด้วยใจพากเพียรพยายามมาแรมชั่วโมง
ตะหวิวในมือของฉันตะหวัดตัวเองไปมาอย่างพิถีพิถัน ก่อนที่หมูกับหอมหัวใหญ่จะค่อย ๆ เรียงตัวเองลงบนจานสีน้ำเงิน สีแดงของมันตัดกับสีของจานจนฉันต้องเปลี่ยนจานใหม่ หาไม่คงจะตักผิดตักถูกก็เป็นได้ หลังจากที่ตักกับข้าวเสร็จไม่นานฉันก็ตักข้าวหอมมันปูที่บรรจงหุ้งไว้ขึ้นมาใส่จาน
ฉันนั่งลงบนพื้นกระเบื้องด้านๆ ท่ามกลางแสงของดวงตะวันที่ส่องลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาอย่างสลัว ก่อนที่จะซึมซับเอาความหอมของกับข้าวที่อยู่ในจานสองใบตรงหน้า
ตอนฉันเป็นเด็กฉันเคยนั่งพนมมือเพื่อขอบคุณอาหารที่อยู่ตรงหน้า จำได้ว่าครูจะนำเราท่องกลอน "ข้าวทุกจาน อาหารทุก อย่าง อย่ากินทิ้งขว้างเป็นของมีค่า ..." ทุกครั้งในทุกมื้อที่เราจะกิน ซึ่งฉันเองก็ทำเพื่อให้ได้กินเร็ว ๆ ไม่เคยมีสักครั้งที่จะเข้าใจ ไม่เคยมีสักครั้งที่คำกลอนมันจะเข้าไปในห้วงแห่งความสำนึก หากแต่การได้ไปสัมผัสชีวิตชาวนา การได้เห็นลูกของชาวนาในยุคข้าวยากหมากแพงมันได้ย้ำคำกลอนนี้ให้ตื่นขึ้นมามีชีวิตในใจของฉันอีกครั้ง
เสื้อผ้าที่ฉันใส่จนคิดว่าใส่ไม่ได้แล้วยังมีสภาพที่ดีกว่าเสื้อนักเรียนของลูกชาวนาอย่างชนิดที่เรียกว่า "ฟ้ากับเหว" เด็ก ๆ มีเพียงข้าวไร้กับที่อยู่ในปิ่นโต บางคนต้องเอาก้อนหินมาจุ่มน้ำปลาเพื่อใช้ทานกับข้าว มีคนบอกฉันว่าคนจำนวนนี้มีเพียงน้อยนิด จริง ๆ แล้วคนส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้มาก แต่สำหรับฉัน "คนเดียวฉันก็ไม่อยากให้มี"
"คนกลุ่มน้อยอะไร แบ่งเป็นกลุ่มไปทำไม เขาทำนาเลี้ยงเราดีกว่าที่เขาเลี้ยงลูกเขาเองซะอีก แค่นี้มันไม่พอที่จะนับเขาเป็นพ่อเป็นแม่เป็นญาติของเราหรือ ต้องให้เขาสละอะไรอีกสักเท่าไร แท้จริงเราไม่ได้เป็นประเทศ แต่เราเป็นร่างกายเดียวกัน เส้นเขตแดนของจังหวัดไม่สามารถแบ่งแยกเราออกจากกันได้หรอก"
ฉันประนมมือขึ้นพลางขอบคุณท้องฟ้า สายฝน และต้นข้าว ขอบคุณใครคนนั้นที่ยังคงอดทนหว่าน "เมล็ดแห่งชีวิต" ลงไปบนผืนดินที่แตกระแหงและรกร้างว่างเปล่า จนมันกลายเป็น "ผืนนาแห่งชีวิต" ที่ทอดตัวยาวไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา ที่เขาเหล่านั้นไม่ยอมท้อแท้ในใจเดินก้าวข้ามผ่านมรสุมของเศรษฐกิจอย่างอุสาหะตลอดมา จนกระทั่งส่วนหนึ่งของเมล็ดเหล่านั้นได้มาอยู่ในหม้อหุงข้าวของฉัน และกลายมาเป็น "กำลัง" เป็นพลังงานคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในจาน
ก่อนจะทานข้าว ฉันในวันนี้ก็ตระหนักรู้ขึ้นมาอีกประการหนึ่งว่า "ใจของฉันที่ประนมออกไปต่อหน้าข้าวมันปูในจานกระเบื้องสีครีมนั้นขัดเกลาให้ฉันเป็นคนที่อ่อนโยนละมุนละไมเพียงไร"
ในสังคมเมืองที่ฉันดำเนินชีวิตอยู่นั้นฉันคุ้นเคยกับการประนมมือไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ แต่เป็นการไหว้ที่ใจไม่ได้ประนมด้วยความซาบซึ้ง หรือในความศรัทราเลยแม้แต่น้อย มันเป็นการไหว้เพียงไม่ให้ใครตราฉันว่าเป็นคนไม่รู้จักสัมมาคารวะ
หากแต่ข้าวในจานได้สอนฉันถึงการไหว้ในความหมายใหม่ที่ต่างออกไปจากเดิม "นั่นคือการจรดใจของเราลงนบนอบต่อสิ่งที่เราจรดนิ้วทั้งสิบของเราก้มกราบ" เป็นการสำนึกอยู่ว่าเราไม่ได้เก่งหรือดีพร้อม หรือแน่จริงเหมือนอย่างที่เราคิด แต่ยังคงต้องพึ่งพาธรรมชาติ ยังคงต้องพึ่งพาผืนนาที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ไปชั่วชีวิตของเรา พร้อมกันนั้นก็เป็นการขอคมาที่เราได้ล่วงเกิน หรือกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งได้ออกไปด้วยใจไร้เดียงสา หรือขาดความยั้งคิดในวัยฉกรรจ์ของเรา
ถ้าการประนมใจไหว้ในนิยามนี้เกิดขึ้นและพึงมีในสังคมเมือง สังคมใหม่คือ "สังคมทางใจ" นี้คงจะถูกสร้างขึ้นอย่างยั่งยืนถาวรเป็นแน่ คงเป็นสังคมแท้ที่เราหวังพึ่งพาในยามยากเช่นนี้
ฉันบรรจงตักข้าวด้วยช้อนเก่าๆ เข้าปากของฉัน อณูน้ำแห่งความตื้นตันครอเอื่ออยู่ที่สองเบ้าตา ก่อนจะไหล่ลงถึงแก้มสองข้างของฉัน "ขอใช้สิบนิ้วประนมนบนอบต่อผืนนาแห่งชีวิตผืนนี้ไปจนวันตาย"
ท้องฟ้าบนผืนกระดาษ
กดสีเทียงลงบนกระดาษวาดเขียน ด้วยมือเล็กของเด็กชาย มันสั่นไหวเพราะพยายามเท่าไหร่สีก็ไม่ยอมออกมา สิ่งที่อยู่ภายในก็สั่นไหวอยากออกมาข้างนอก แต่ ...
ยามนี้สิ่งที่ทำได้คงเป็นการออกแรงกดให้หนักยิ่งกว่า "ท้องฟ้าจ๋า ท้องฟ้า" รำพึง รำพึง
สีฟ้าด่าง ๆ ล่องลอยออกมาบนผืนกระดาษ มันออกมาอย่างไม่เต็มใจ สีเทียนแท่งนี้ยังคงสั่นไหว
"ป๊อก" หักซะแล้ว
ฟ้าสดใสในจิณตนาการจากไป ทิ้งไว้เพียงฟ้าขมุกขมัวบนผืนกระดาษวาดเขียน
"ไม่มีน้ำตาสักหยด"
ยามนี้สิ่งที่ทำได้คงเป็นการออกแรงกดให้หนักยิ่งกว่า "ท้องฟ้าจ๋า ท้องฟ้า" รำพึง รำพึง
สีฟ้าด่าง ๆ ล่องลอยออกมาบนผืนกระดาษ มันออกมาอย่างไม่เต็มใจ สีเทียนแท่งนี้ยังคงสั่นไหว
"ป๊อก" หักซะแล้ว
ฟ้าสดใสในจิณตนาการจากไป ทิ้งไว้เพียงฟ้าขมุกขมัวบนผืนกระดาษวาดเขียน
"ไม่มีน้ำตาสักหยด"
(ภายใน) ใครบางคน
มี "ใครบางคน" อิงแอบ เร้นกายภายใต้ "ใครบางคน"
มีลมหายใจบางลม "ระบัดกาย" ปะปนอยู่ ในลมหายใจ "บางเบา"
การค้นหาจบลง แต่การค้นพบเพิ่งจะเริ่มต้น ...
หากทุกก้าวเดินคือการยืน "อยู่กับที่" และการยืนอยู่กับที่คือ "การย่างก้าว"
หากลมหายใจทอดตัวยาวเสมือนหยุดนิ่ง
หากวินาทีคือ "นิจนิรันดร์"
หากคนสองคนคือ "กันและกัน"
หากตัวฉันคือตัวเธอ
การค้นหาจบลง แต่การค้นพบเพิ่งจะเริ่มต้น ...
เสียงดังเซ็งแซ่ กลับ "เงียบ"
ท่วงทำนอง "ว่างเปล่า" ถูกขับขาน
พริบตาหนึ่งที่ "วิญญาณ" สาบสูญ
การค้นหาจบลง แต่การค้นพบเพิ่งจะเริ่มต้น ...
มีลมหายใจบางลม "ระบัดกาย" ปะปนอยู่ ในลมหายใจ "บางเบา"
การค้นหาจบลง แต่การค้นพบเพิ่งจะเริ่มต้น ...
หากทุกก้าวเดินคือการยืน "อยู่กับที่" และการยืนอยู่กับที่คือ "การย่างก้าว"
หากลมหายใจทอดตัวยาวเสมือนหยุดนิ่ง
หากวินาทีคือ "นิจนิรันดร์"
หากคนสองคนคือ "กันและกัน"
หากตัวฉันคือตัวเธอ
การค้นหาจบลง แต่การค้นพบเพิ่งจะเริ่มต้น ...
เสียงดังเซ็งแซ่ กลับ "เงียบ"
ท่วงทำนอง "ว่างเปล่า" ถูกขับขาน
พริบตาหนึ่งที่ "วิญญาณ" สาบสูญ
การค้นหาจบลง แต่การค้นพบเพิ่งจะเริ่มต้น ...
ก้าว
หญิงน้อย "ตัวนิด"
ทั้งใจ ทั้งจริต นั้นยิ่งใหญ่
ใต้ฟ้าสีทองผ่องอำไพ
เทดวงใจ หาบถังน้ำ "พาย" ย่ามเดิน
"ไกล" ฉันเหนื่อย
"ก้าว" อย่างหมดความหวัง
หนทางทอดยาว คอย "ฉุดรั้ง"
อยาก "ฝัง" แววตาใส ใต้พื้นดิน
ถนนสีดิน ทอดยาว ไม่รู้จบ
จากปลายเท้า ถามทบ จรดปลายฟ้า
แก๊ง เก๊ง แกว่งถังไป บนสองบ่า
เตาะ แตะ เตาะ แตะ สองขา ยังคง ก้าวต่อไป
แม้อยากหยุด อยากเลิก ทำไม่ได้
แม้อยากท้อใจ แต่มัน ไร้แรงเหลือ
แม้อยากมี กำลัง พูดคำว่า "เบื่อ"
แม้อยากจะ "เผื่อ" อยากจะเว้น เร้นแอบกาย
แต่ยามนี้ "แรงกำลังเดียว" ที่ฉันมี คือ ภาพของแม่ป่วย ที่อยู่ที่บ้าน
สิ่งที่ฉันต้องการ คือ "ตักน้ำ" แล้วเดินกลับไป
น้ำหกกระซ่านเซ็น สองเข่าเปียกเย็น แต่ไม่เป็นไร
แม่จ๋า แม่จ๊ะ แม่ ... แม่อย่าเพิ่งจากหนูไป อดทนแข็งใจไว้ หนูรีบไป หนูรีบเดิน
ลูกจะให้สองมือที่ซีดเซียว กลับคืนมามีแรงเรี่ยวเช่นวันวาน
ด้วยน้ำดื่มแห่งบนบาน ฟากฟ้าขาน ก้องกังวานมาด้วย "กรุณา"
ทั้งใจ ทั้งจริต นั้นยิ่งใหญ่
ใต้ฟ้าสีทองผ่องอำไพ
เทดวงใจ หาบถังน้ำ "พาย" ย่ามเดิน
"ไกล" ฉันเหนื่อย
"ก้าว" อย่างหมดความหวัง
หนทางทอดยาว คอย "ฉุดรั้ง"
อยาก "ฝัง" แววตาใส ใต้พื้นดิน
ถนนสีดิน ทอดยาว ไม่รู้จบ
จากปลายเท้า ถามทบ จรดปลายฟ้า
แก๊ง เก๊ง แกว่งถังไป บนสองบ่า
เตาะ แตะ เตาะ แตะ สองขา ยังคง ก้าวต่อไป
แม้อยากหยุด อยากเลิก ทำไม่ได้
แม้อยากท้อใจ แต่มัน ไร้แรงเหลือ
แม้อยากมี กำลัง พูดคำว่า "เบื่อ"
แม้อยากจะ "เผื่อ" อยากจะเว้น เร้นแอบกาย
แต่ยามนี้ "แรงกำลังเดียว" ที่ฉันมี คือ ภาพของแม่ป่วย ที่อยู่ที่บ้าน
สิ่งที่ฉันต้องการ คือ "ตักน้ำ" แล้วเดินกลับไป
น้ำหกกระซ่านเซ็น สองเข่าเปียกเย็น แต่ไม่เป็นไร
แม่จ๋า แม่จ๊ะ แม่ ... แม่อย่าเพิ่งจากหนูไป อดทนแข็งใจไว้ หนูรีบไป หนูรีบเดิน
ลูกจะให้สองมือที่ซีดเซียว กลับคืนมามีแรงเรี่ยวเช่นวันวาน
ด้วยน้ำดื่มแห่งบนบาน ฟากฟ้าขาน ก้องกังวานมาด้วย "กรุณา"
ความเข้มแข็งในสายลม
กำลังอยู่ที่หัวใจ ใช่ความกำยำ
ก้าวหกล้มแล้ว ถึงชอกช้ำ ไม่สนใจ
จักล้มกี่ครั้ง จักลุกขึ้นยืนใหม่
ประกาศให้เขารู้เอาไว้ คนจริง ไม่เหยาะแหยะ ... ไม่อ่อนแออะไรทั้งนั้น
กี่แผล กี่ความเจ็บปวด ... นิ่งสงบ
ข่มใจท้าทาย ต่อโชคร้ายที่เข้ามา
คนเราพลาดพลั้ง ย่อมไม่โทษโชคชะตา
ขาที่ยืนขึ้นมานั่นแหละ "ความเข้มแข็ง"
และฉันจะเข้มแข็งให้มากขึ้นอีก เพื่อปกป้องใครคนนั้น ... หนึ่งคนที่เรียกว่าชีวิตของฉัน
ก้าวหกล้มแล้ว ถึงชอกช้ำ ไม่สนใจ
จักล้มกี่ครั้ง จักลุกขึ้นยืนใหม่
ประกาศให้เขารู้เอาไว้ คนจริง ไม่เหยาะแหยะ ... ไม่อ่อนแออะไรทั้งนั้น
กี่แผล กี่ความเจ็บปวด ... นิ่งสงบ
ข่มใจท้าทาย ต่อโชคร้ายที่เข้ามา
คนเราพลาดพลั้ง ย่อมไม่โทษโชคชะตา
ขาที่ยืนขึ้นมานั่นแหละ "ความเข้มแข็ง"
และฉันจะเข้มแข็งให้มากขึ้นอีก เพื่อปกป้องใครคนนั้น ... หนึ่งคนที่เรียกว่าชีวิตของฉัน
เจ็บไม่ร้อง
เจ็บไม่ร้อง ...
เจ็บไม่ร้อง น้ำตาไหลเฉพาะเมื่อมีสุข
แม้ทุกข์ กัดฟัน เก็บกด ไม่ปริปาก
รอยยิ้มเพื่อคนข้างหลัง
ชีวิตมันไม่จีรัง ทำเพื่อตนเองอย่างเดียวทำไม
มีใจไว้รัก ขอตายพร้อมรัก ประจักษ์ โลกรับรู้
เกิดมาเป็นคน ชีวิตมันต้องสู้
อย่าโทษ "กู" โทษ "มึง" โทษ "ชะตา"
เรื่องราวชีวิตมันจะเป็นยังไง
มันจะเลวบัดซบเท่าไหร่
เชื่อเหอะ "กู" จะเขียนใหม่ ด้วยกำลังที่มี
วาดรอยยิ้มแห่งดวงใจใส่ท้องฟ้า
รวมทุกน้ำตา ที่ผ่านมา ใส่คันศร
เปลี่ยนแปลงความเศร้าเป็นกำลัง ง้างไว้ด้วยหัวใจ ไม่สั่นคลอน
ยิงปัญหา ให้ฉีกขาด ให้ทะลุ ให้ทะลวง
ปัญหายิ่งใหญ่ ศรนั้นไซร้ ใหญ่ยิ่งกว่า
เราเอง กูเอง นิยามไว้ จำใส่ใจว่า ...
"ความเข้มแข็งแกร่ง"
เจ็บไม่ร้อง น้ำตาไหลเฉพาะเมื่อมีสุข
แม้ทุกข์ กัดฟัน เก็บกด ไม่ปริปาก
รอยยิ้มเพื่อคนข้างหลัง
ชีวิตมันไม่จีรัง ทำเพื่อตนเองอย่างเดียวทำไม
มีใจไว้รัก ขอตายพร้อมรัก ประจักษ์ โลกรับรู้
เกิดมาเป็นคน ชีวิตมันต้องสู้
อย่าโทษ "กู" โทษ "มึง" โทษ "ชะตา"
เรื่องราวชีวิตมันจะเป็นยังไง
มันจะเลวบัดซบเท่าไหร่
เชื่อเหอะ "กู" จะเขียนใหม่ ด้วยกำลังที่มี
วาดรอยยิ้มแห่งดวงใจใส่ท้องฟ้า
รวมทุกน้ำตา ที่ผ่านมา ใส่คันศร
เปลี่ยนแปลงความเศร้าเป็นกำลัง ง้างไว้ด้วยหัวใจ ไม่สั่นคลอน
ยิงปัญหา ให้ฉีกขาด ให้ทะลุ ให้ทะลวง
ปัญหายิ่งใหญ่ ศรนั้นไซร้ ใหญ่ยิ่งกว่า
เราเอง กูเอง นิยามไว้ จำใส่ใจว่า ...
"ความเข้มแข็งแกร่ง"
เสียงรอยเท้า บทแผ่นไม้
เสียงของย่างก้าว
ก้าวเท้ากระทบบนไม้
ตึ้ง ๆ ๆ ๆ
เสียงของรอยเท้า เสียงของการเคลื่อนไหว เสียงของการมีชีวิตอยู่
ก้าวเท้ากระทบบนไม้
ตึ้ง ๆ ๆ ๆ
เสียงของรอยเท้า เสียงของการเคลื่อนไหว เสียงของการมีชีวิตอยู่
ความหวังในลำครอง
อาหารเม็ดกลม ถูกขว้างลงน้ำ
โอกาสมาแล้ว ความอิ่มท้องเบื้องหน้ารอคอยอยู่
หามีเพียงเราไม่ ปลานับไม่ถ้วน แหวกว่าย เบียบเสียด
ฉันคิด
จะมีสักตัวมั้ย ที่กล้า หาอาหารของตัวเอง
หอยตัวเล็กลอยมาบนเปลือกทุเรียน
ไม่แคร์ชะตาข้างหน้า ที่ปลายน้ำ
อนาคตจบลงแล้วบนเปลือกทุเรียน
โอกาสมาแล้ว ความอิ่มท้องเบื้องหน้ารอคอยอยู่
หามีเพียงเราไม่ ปลานับไม่ถ้วน แหวกว่าย เบียบเสียด
ฉันคิด
จะมีสักตัวมั้ย ที่กล้า หาอาหารของตัวเอง
หอยตัวเล็กลอยมาบนเปลือกทุเรียน
ไม่แคร์ชะตาข้างหน้า ที่ปลายน้ำ
อนาคตจบลงแล้วบนเปลือกทุเรียน
ห้วงอารมณ์ ท่วงทำนอง
... ดวงอาทิตย์ยังตรงเวลา คอยท่าฉันเหมือนเดิม
ทุกสิ่งเคลื่อนไหว เหมือนแรกเริ่ม
เป็นสิ่งเดิม สิ่งนั้น เป็นสิ่งเดียว
... เวลาคือสิ่งที่มีในฉัน
เพราะชั่ววันที่อาทิตย์ขึ้นและตก
มีเพียงใจที่ค่องเกี่ยวที่เคี้ยวคด
สิ่งนั้นคงกด ฉันเอาไว้ ในเวลา ...
ทุกสิ่งเคลื่อนไหว เหมือนแรกเริ่ม
เป็นสิ่งเดิม สิ่งนั้น เป็นสิ่งเดียว
... เวลาคือสิ่งที่มีในฉัน
เพราะชั่ววันที่อาทิตย์ขึ้นและตก
มีเพียงใจที่ค่องเกี่ยวที่เคี้ยวคด
สิ่งนั้นคงกด ฉันเอาไว้ ในเวลา ...
คำอ้อน วอนถึงบทเพลง
บทเพลงจ๋า สอนฉันทีนะ ว่าเธอรูปสึกอย่างไร
โปรดนำฉันไปถึงความสะเทือนใจของเธอ
ขอพรวิเศษให้ฉันร้องอย่างที่เธอต้องการร้อง
เจ็บ รัก สมหวัง เสียใจ ได้อย่างที่เธอเป็น
โอ้ บทเพลงจ๋า ต่อหน้าเธอฉันเหมือนคนตายไปแล้ว ...
ฉันละลายสูญสลายไปรวมอยู่กับเธอ
เราเป็นกายเดียวกันเแล้ว
เราเป็นกายเดียวกันเแล้ว
โปรดรับกำลังทั้งหมดของวัยหนุ่มของฉันไว้
โปรดให้มีช่วงเวลาที่ฉันจะได้แหวกว่ายในจิตวิญญาณของเธอ
แหวกว่ายในจิตวิญญาณของเธอ ...
โปรดนำฉันไปถึงความสะเทือนใจของเธอ
ขอพรวิเศษให้ฉันร้องอย่างที่เธอต้องการร้อง
เจ็บ รัก สมหวัง เสียใจ ได้อย่างที่เธอเป็น
โอ้ บทเพลงจ๋า ต่อหน้าเธอฉันเหมือนคนตายไปแล้ว ...
ฉันละลายสูญสลายไปรวมอยู่กับเธอ
เราเป็นกายเดียวกันเแล้ว
เราเป็นกายเดียวกันเแล้ว
โปรดรับกำลังทั้งหมดของวัยหนุ่มของฉันไว้
โปรดให้มีช่วงเวลาที่ฉันจะได้แหวกว่ายในจิตวิญญาณของเธอ
แหวกว่ายในจิตวิญญาณของเธอ ...
กวีในวิญญาณ
หากฟัง ... มีเสียงกระซิบในสายลม
หากมอง ... ความอ้างว้างจะพูดกับเรา
มีบางสิ่งรอเวลา รอเราก้าวเท้าเข้าไปหา
มีบางคน รอเราก้าวเท้าเข้าไปทำความรู้จัก
ความรัก ชีวิต ความบ้าคลั่ง หรืออะไร ฉันไม่รู้ และไม่อยากรู้
แต่มีบางสิ่งที่จะทำให้เราต่างออกไปจากวันวาน ...
บางสิ่ง .. ที่จะเป็นแรงบันดาลใจ เพียงแค่เราเริ่มก้าวออกไป
หากมอง ... ความอ้างว้างจะพูดกับเรา
มีบางสิ่งรอเวลา รอเราก้าวเท้าเข้าไปหา
มีบางคน รอเราก้าวเท้าเข้าไปทำความรู้จัก
ความรัก ชีวิต ความบ้าคลั่ง หรืออะไร ฉันไม่รู้ และไม่อยากรู้
แต่มีบางสิ่งที่จะทำให้เราต่างออกไปจากวันวาน ...
บางสิ่ง .. ที่จะเป็นแรงบันดาลใจ เพียงแค่เราเริ่มก้าวออกไป
ช่วงเวลาที่ "พัด" มา
ป้ายกำกับ:
บทกลอน
มีสายลมพัด มีดาวอยู่บนฟ้า คู่พระจันทร์
มีต้นไม้ มีกาลเวลา
มีสายน้ำไหลอยู่เบื่องล่าง พร้อมลมหายใจของตัวเอง
ที่นี่ สิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงตัวเลขบนนาฬิกา
ที่นี่ สิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงวันที่ เดือนปี บนปฏิทิน
มีต้นไม้ มีกาลเวลา
มีสายน้ำไหลอยู่เบื่องล่าง พร้อมลมหายใจของตัวเอง
ที่นี่ สิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงตัวเลขบนนาฬิกา
ที่นี่ สิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงวันที่ เดือนปี บนปฏิทิน
ความลับบนก้อนเมฆ
ป้ายกำกับ:
บทกลอน
... ก้อนเมฆลอยเต็มท้องฟ้า มันคือเวลาที่ผ่านพ้น
ห้วงสายชลท่ามกลางทะเล มันคือการผลัดเปลี่ยนของฤดู
ถ้า ไม่รับรู้ ไม่รัก ไม่เจ็บ ไม่รู้สึก
แต่แบื่องลึกย่อมรู้ ย่อมเข้าใจ ว่าเป็นเกียรติอย่างไร
ที่ผ่านพ้นคือวันเหล่านี้ไป ร่วมกับเธอ ...
ห้วงสายชลท่ามกลางทะเล มันคือการผลัดเปลี่ยนของฤดู
ถ้า ไม่รับรู้ ไม่รัก ไม่เจ็บ ไม่รู้สึก
แต่แบื่องลึกย่อมรู้ ย่อมเข้าใจ ว่าเป็นเกียรติอย่างไร
ที่ผ่านพ้นคือวันเหล่านี้ไป ร่วมกับเธอ ...
แปลก ๆ แต่ "เจ็บ"
ป้ายกำกับ:
บทกลอน
... โอบกอด สายไย ความรู้สึก
ความเจ็บปวด ทอดทิ้ง ความสิ้นหวัง
ในโลกนี้ หรือโลกหน้า หาได้จีรัง
เก็บความงามในจิตใจ ใส่แววตา ...
ความเจ็บปวด ทอดทิ้ง ความสิ้นหวัง
ในโลกนี้ หรือโลกหน้า หาได้จีรัง
เก็บความงามในจิตใจ ใส่แววตา ...
อารมณ์ง่วง
ป้ายกำกับ:
บทกลอน
... มันเป็นเวลาปัจจุบัน ที่ประเสริฐสุด ๆ
คือการ "นอน"
กอดหมอน
คลุมผ้าบนใบหน้า
หลับตา
ฝัน
และเดินทางไปอีกโลกที่ความจริงไม่อาจนิยาม ...
คือการ "นอน"
กอดหมอน
คลุมผ้าบนใบหน้า
หลับตา
ฝัน
และเดินทางไปอีกโลกที่ความจริงไม่อาจนิยาม ...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)